Jefferies คาด “ตลาดหุ้นอินเดีย” มูลค่าแตะ 10 ล้านล้านดอลลาร์ฯ ภายในปี 2030

Jefferies Financial Group Inc. คาดการณ์ว่า มูลค่าตลาดหุ้นอินเดีย จะเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่า เป็น 10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2573 โดยพิจารณาจากผลตอบแทนเป็นเลขสองหลักและความคาดหวังในการปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง

Mahesh Nandurkar และ Chris Wood ระบุว่า ตลาดหุ้นอินเดีย ที่ปัจจุบันใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก ด้วยมูลค่า 4.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แซงหน้าฮ่องกงไปช่วงสั้น ๆ เมื่อเดือนมกราคม 2567 อย่างไรก็ตามน้ำหนักในดัชนีหุ้นทั่วโลกยังต่ำกว่า 2% ทำให้นักลงทุนต่างชาติเพิ่มการลงทุน

อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วที่สุดแห่งหนึ่งของโลกทำให้อินเดียเป็นตลาดที่น่าดึงดูดสำหรับนักลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเปลี่ยนทิศทางจากจีน GDP เพิ่มขึ้น 7% CAGR ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาเป็น 3.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ช่วยให้เศรษฐกิจก้าวกระโดดจากอันดับที่ 8 ไปสู่อันดับที่ 5

Jefferies คาดว่า GDP ของอินเดียจะแตะ 5 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2027 ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศแซงหน้าญี่ปุ่นและเยอรมนี เนื่องจากสถานการณ์ประชากรที่ลดลง ความเข้มแข็งของสถาบัน และการปรับปรุงมาตรฐานการกำกับดูแล

ที่มา: https://moneyandbanking.co.th/2024/93139/

🇮🇳 กองทุนหุ้นอินเดีย แนะนำโดย Mr.Messenger:

ด้วยศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจระดับสูง ทำให้แนวโน้มเม็ดเงินจากต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นอินเดียหลัง MSCI เพิ่มน้ำหนักตลาดหุ้นอินเดียในการคำนวนดัชนี Mr.Messenger Call จึงแนะนำลงทุนในหุ้นอินเดียผ่านกองทุน B-BHARATA และกองทุน TISCOINA-A

1️⃣ B-BHARATA

  • กองทุนรวมหุ้นอินเดีย ลงทุนผ่านกองทุน RAMS Investment Unit Trust – India Equities Portfolio Fund II
  • เน้นธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของอุตสาหกรรมในประเทศอินเดีย และมีน้ำหนักการกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศ เพื่อโอกาสเพิ่มผลตอบแทนมากขึ้น
  • อัตราผลตอบแทนที่อยู่ในระดับที่น่าพอใจ มีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน 45% ของเงินลงทุน
  • ดูรายละเอียดกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ https://finno.me/pick-b-bharata

2️⃣ TISCOINA-A

ลงทุนในหุ้นอินเดียผ่าน 3 กองทุนหลัก ได้แก่

  1. Nomura Funds Ireland plc India Equity Fund: ใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Active Management คัดเลือกหุ้นด้วยวิธี Bottom-up พิจารณาจากพื้นฐานของหุ้นเป็นหลัก ประมาณ 25-30 ตัว จาก Universe ประมาณ 240 ตัว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดใหญ่
  2. FSSA Indian Subcontinent Fund: ใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Active Management คัดเลือกหุ้นด้วยวิธี Bottom-up คัดเลือกหุ้นที่ประกอบธุรกิจในอินเดีย, ศรีลังกา, ปากีสถาน และบังคลาเทศ โดยเน้นลงทุนประมาณ 50 ตัว กระจายลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ กลาง เล็ก โดยพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
  3. Goldman Sachs India Equity Portfolio: ใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Active Management คัดเลือกหุ้นด้วยวิธี Bottom-up เลือกหุ้นประมาณ 70-100 ตัว จาก Universe ประมาณ 700 ตัว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดกลางเล็ก

 

📌 อ่านคำแนะนำ Mr.Messenger Call เพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/mr-messenger/call-india-feb-2024/


คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 . ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”

TSF2024