กระทรวงการคลังเดินหน้าวางแผนปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจโตช้าและลดความเสี่ยงจากหนี้สาธารณะที่ใกล้แตะเพดาน พร้อมเตือนว่าการกู้เงินเพิ่มอาจกระทบเสถียรภาพการเงินของประเทศ แผนนี้รวมถึงการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จาก 7% เป็น 10% ลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลให้อยู่ที่ 15%
นอกจากนี้ ยังมีมาตรการจัดเก็บภาษีทรัพย์สินและภาษีกำไรจากการขายหุ้น (Capital Gains Tax) เพื่อเพิ่มรายได้รัฐ ลดความเหลื่อมล้ำ และดูแลผู้มีรายได้น้อย
ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยอมรับว่าการขึ้น VAT เป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่ถือเป็นความจำเป็นเพื่อสร้างรายได้สำหรับการลงทุนพัฒนาประเทศ
โดยประเด็นสำคัญของแผนปฏิรูปภาษีประเทศไทยมีดังนี้
1. เพิ่มรายได้รัฐผ่านการปรับโครงสร้างภาษี
- พิจารณาขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จาก 7% เป็น 10% ตามเพดานกฎหมาย เพื่อเพิ่มงบประมาณสำหรับการลงทุนและกระตุ้นเศรษฐกิจ
- ลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล เปลี่ยนระบบอัตราขั้นบันไดเป็นอัตราเดียว โดยลดภาษีนิติบุคคลจาก 20% เหลือ 15% เพื่อดึงดูดการลงทุนและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล
2. จัดเก็บภาษีทรัพย์สินและความมั่งคั่ง
- พิจารณาเลิกเก็บภาษีแบบขั้นบันได เนื่องจากใช้มานานแต่ความเหลื่อมล้ำกลับไม่ลดลง
- วางแผนเก็บภาษีจากทรัพย์สินที่มีทะเบียน เช่น บ้าน ที่ดิน รถยนต์ และเงินฝาก
- เริ่มจัดเก็บภาษีกำไรจากการขายหุ้น (Capital Gains Tax) โดยอนุญาตให้หักขาดทุนก่อนคำนวณกำไรสุทธิ
3. ลดช่องโหว่และเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี
- ใช้เทคโนโลยี AI ในการตรวจสอบภาษีและวิเคราะห์ข้อมูลดิจิทัล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการหลบเลี่ยงภาษี
- ขยายฐานข้อมูล “อารีย์ สกอร์” เพื่อบูรณาการข้อมูลด้านรายได้ หนี้สิน และการรับสวัสดิการของประชาชน
4. ดูแลผู้มีรายได้น้อย
- ออกมาตรการคืนภาษีให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อย ที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้น VAT
- ใช้เงินกองกลางจากภาษีเพื่อพัฒนาสวัสดิการ เช่น สาธารณสุข การศึกษา และโครงการที่อยู่อาศัย
5. ส่งเสริมเศรษฐกิจระยะยาว
- วางเป้าหมายให้รายได้จากภาษีเพิ่มขึ้นจาก 14% เป็น 18% ของ GDP
- ผลักดันให้เศรษฐกิจใต้ดินเข้าสู่ระบบ เพื่อเพิ่มรายได้ใหม่ เช่น การพิจารณาคาสิโนถูกกฎหมาย
แผนปฏิรูปภาษีนี้สะท้อนถึงความพยายามในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทย เพื่อเพิ่มรายได้ของรัฐและรองรับความท้าทายทางเศรษฐกิจในอนาคต ด้วยเป้าหมายในการสร้างความสมดุลระหว่างการจัดเก็บรายได้ การพัฒนาประเทศ และการดูแลประชาชน
อ้างอิง: ประชาชาติธุรกิจ, The Standard Wealth