มุมมองการลงทุน Healthcare 2025

Highlight (คลิกเลือกหัวข้อที่สนใจได้เลย)


Eli Lilly (LLY) เปิดเผยว่าหน่วยงาน NMPA (National Medical Products Administration) หรือที่คนไทยเรียกว่า “อย.จีน” ได้อนุมัติ Kisunla หรือที่รู้จักในชื่อทางการว่า Donanemab ยาฉีดทางหลอดเลือดดำสำหรับรักษาโรคอัลไซเมอร์ในระยะเริ่มต้น 

ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำคัญสำหรับผู้ป่วยในจีน ต่อจากการอนุมัติยา Leqembi ของ Biogen และ Eisai เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา โดยยา Kisunla ถูกออกแบบมาเพื่อกำจัดโปรตีนเบตา-แอมิลอยด์ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคอัลไซเมอร์

ประสิทธิภาพของ Kisunla

ยารักษาอัลไซเมอร์

ยา Kinsula | Source: Pharmaphorum

จากการทดลองทางคลินิกระยะที่ 3 (TRAILBLAZER-ALZ 2 Phase 3) พบว่า Kisunla มีประสิทธิภาพโดดเด่นดังนี้

  • ช่วยชะลอการเสื่อมถอยของความจำและความคิดได้ถึง 29% เมื่อเทียบกับยาหลอก
  • ลดความเสี่ยงการลุกลามของโรคลงถึง 39%
  • ลดโปรตีนเบตา-แอมิลอยด์ในสมอง โปรตีนชนิดนี้ลดลงได้ถึง 84% ภายในระยะเวลา 18 เดือน
  • สามารถหยุดการรักษาได้เมื่อบรรลุเป้าหมาย โดยพิจารณาจากผลการสแกนสมองที่แสดงว่าปราศจากโปรตีนแอมิลอยด์

ผลข้างเคียงที่ต้องพิจารณา

แม้จะมีผลการรักษาที่น่าพอใจ แต่ Kisunla ก็มีความเสี่ยงที่ต้องระวัง

  • ภาวะสมองบวมและเลือดออกในสมอง พบในผู้ป่วยเกือบ 25% และ 33% ตามลำดับ แต่ส่วนใหญ่เป็นกรณีที่ไม่รุนแรง
  • การจัดการผลข้างเคียง การให้ยาในขนาดที่เริ่มต้นต่ำและเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป สามารถช่วยลดความเสี่ยงของภาวะสมองบวมได้
  • คำเตือนกรอบดำ (Boxed Warning) ในสหรัฐอเมริกา Kisunla มีคำเตือนบนฉลากถึงความเสี่ยงของภาวะสมองบวมและเลือดออกที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

โรคอัลไซเมอร์ ปัญหาสุขภาพระดับโลก

องค์การอนามัยโลกระบุว่าโรคอัลไซเมอร์เป็นสาเหตุของภาวะสมองเสื่อมที่พบบ่อยที่สุด โดยคิดเป็น 60 – 70% ของผู้ป่วยสมองเสื่อมทั้งหมด 

โดยในประเทศจีน ประชากรที่มีอายุมากกว่า 65 ปี ประมาณ 6% มีภาวะอัลไซเมอร์หรือโรคที่เกี่ยวข้อง

การอนุมัติ Kisunla จึงเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มทางเลือกการรักษา และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยอัลไซเมอร์ในจีนและทั่วโลก

มุมมองการลงทุน Healthcare 2025

มุมมองการลงทุนในกลุ่ม Healthcare ปี 2025

ในปี 2025 ตลาด Healthcare ในสหรัฐฯ มีปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ทั้งจากนโยบายที่อาจเปลี่ยนแปลงของรัฐบาล และแนวโน้มการเติบโตของตลาดยารักษาโรคสำคัญ เช่น เบาหวานและโรคอ้วน

Affordable Care Act (ACA) การเปลี่ยนแปลงที่อาจส่งผลกระทบ

Affordable Care Act (ACA) หรือที่รู้จักกันในชื่อเดิมว่า “Obama Care” เป็นกฎหมายที่มีเป้าหมายเพื่อทำให้การเข้าถึงการดูแลสุขภาพในสหรัฐอเมริกาเป็นไปได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีส่วนสำคัญดังนี้

  1. Individual Mandate กฎหมายกำหนดให้ทุกคนต้องมีประกันสุขภาพ หากไม่ทำจะต้องจ่ายภาษี ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้ผู้คนซื้อประกันสุขภาพ
  2. Employer Mandate กำหนดให้นายจ้างที่มีพนักงานมากกว่า 50 คน ต้องจัดประกันสุขภาพให้กับพนักงานประจำ
  3. Premium Tax Credit สำหรับผู้ที่มีรายได้น้อยถึงปานกลาง จะได้รับเงินอุดหนุนภาษีเพื่อช่วยในการซื้อประกันสุขภาพ
  4. Expansion of Medicaid and Medicare Medicaid ถูกขยายเพื่อให้คนที่มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงประกันสุขภาพได้มากขึ้น ส่วน Medicare ให้การดูแลสุขภาพเชิงป้องกันโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

อย่างไรก็ตาม ในสมัยแรก Donald Trump เคยยื่นยกเลิก ACA แต่ถูกปัดตกเพราะไม่มีแผนที่ชัดเจนมากพอ แต่ในสมัยนี้ Trump ระบุว่าจะไม่ยกเลิก และจะทำให้ ACA ดียิ่งขึ้น

โดยนโยบายของพรรค Republican ที่นำเสนอเกี่ยวกับ ACA มีดังนี้

  • ยุติ Premium Tax Credit (PTC) โดยโครงการนี้ทำให้คนเข้าถึงประกันสุขภาพได้ง่ายขึ้น แต่ PTC จะหมดอายุในปี 2025 หากไม่ถูกขยายออกไป จะทำให้คนมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นและทำให้คนกว่า 4 ล้านคนไม่มีประกัน
  • เปลี่ยนเงินทุนของโครงการสุขภาพจากรัฐบาลกลางเป็นเงินสนับสนุนแบบก้อน (Block Grants)
  • ปรับโครงสร้างการให้เงินทุน Medicaid
  • เพิ่มข้อกำหนดสำหรับผู้ที่จะรับสิทธิ์ Medicaid
  • เจรจาลดราคายาลง

ทั้งนี้ Trump มีแผนที่จะใช้ข้อกำหนดในกฎหมาย Inflation Reduction Act (IRA) เพื่อเจรจาลดราคายา และอาจกำหนดเพดานราคาสำหรับยาชนิดอื่น ๆ ที่มีราคาสูงเพิ่มเติม เช่น กำหนดเพดานค่าใช้จ่ายสำหรับอินซูลินไว้ที่ 35 ดอลลาร์ต่อเดือนสำหรับผู้มีประกันสุขภาพภายใต้ Medicare

แรงขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโตใน Healthcare

แม้นโยบายดังกล่าวจะสร้างความกังวลเล็กน้อยต่อตลาด Healthcare แต่ยังมีปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการเติบโตในระยะยาว ดังนี้

1. ความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานและโรคอ้วน

  • McKinsey บริษัทที่ปรึกษาด้านธุรกิจเบอร์ 1 ของโลก คาดว่า จำนวนผู้ป่วยเบาหวานทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,400 ล้านคนภายในปี 2040 ซึ่งจะผลักดันความต้องการของยารักษาเบาหวาน และสร้างโอกาสการเติบโตสำหรับบริษัทในอุตสาหกรรม
  • ยาใหม่ เช่น Ozempic และ CagriSema ถูกคาดหวังว่าจะเป็น ‘ตัวเปลี่ยนเกม’ โดย CagriSema ที่สามารถลดน้ำหนักได้ถึง 25% อาจเปิดตัวในช่วงปลายปี 2025 หรือต้นปี 2026

2. การเปิดตัวยาลดน้ำหนักตัวใหม่ Catalyst สำคัญในปี 2025 – 2026

  • Novo Nordisk และ Eli Lilly ซึ่งเป็นผู้นำในตลาดนี้ คาดว่าจะได้รับผลบวกจากการเติบโตของตลาดยาลดความอ้วน โดย McKinsey ประเมินว่าตลาดนี้จะมีรายได้ระหว่าง 120,000 – 280,000 ล้านดอลลาร์

3. ความโปร่งใสและการแข่งขันด้านราคายา

  • นโยบายของ Trump ที่ผลักดันให้มีความโปร่งใสมากขึ้น เช่น การเปิดเผยราคายา จะเพิ่มการแข่งขันในตลาด ซึ่งในระยะยาวอาจช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพสำหรับผู้บริโภค และเพิ่มทางเลือกในการรักษา

แนวโน้มกำไรหุ้นที่มียารักษาโรคอ้วนเติบโตสูงกว่า

ตลาดยารักษาโรคอ้วนกำลังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรมยา สะท้อนผ่านตัวเลขการเติบโตที่โดดเด่นของ 2 บริษัทผู้นำในตลาดนี้

กำไรหุ้นยาเปรียบเทียบกำไรของหุ้นที่มีและไม่มียาลดความอ้วน | Source: Finnomena Funds, Bloomberg
As of 09/12/2024

Eli Lilly ผู้ผลิตยา Zepbound คาดว่ากำไรมีโอกาสพุ่งสูงถึง 108.6% ในปี 2024 ขณะที่ Novo Nordisk เจ้าของยา Wegovy และ Ozempic คาดว่าจะเติบโต 23.2% ในปีเดียวกัน

ตัวเลขนี้แตกต่างอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับบริษัทยารายใหญ่อื่น ๆ ที่ไม่มีผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ อย่าง Pfizer ที่กำไรหดตัวถึง -71.9% ในปี 2023 หรือ Johnson & Johnson ที่คาดว่าจะมีกำไรลดลง -4.7% ในปี 2024

Key Takeaway สำหรับนักลงทุน

แม้จะมีแรงกดดันจากนโยบายควบคุมราคายาของรัฐบาลที่อาจกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรในระยะสั้น แต่กลุ่ม Healthcare โดยเฉพาะตลาดยาลดความอ้วนและเบาหวานยังคงมีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งในระยะยาว 

อีกทั้งผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เช่น CagriSema ซึ่งคาดว่าจะเข้าสู่ตลาดในช่วงปลายปี 2025 ยังมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมนี้อย่างมีนัยสำคัญ ด้วยคุณสมบัติในการช่วยลดน้ำหนักได้ถึง 25%

อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้น นโยบายการกำหนดเพดานราคายา รวมถึงการลดเงินสนับสนุนในโครงการสุขภาพ เช่น Medicaid อาจกดดันผลประกอบการของบริษัท Healthcare บางแห่ง แม้ว่าความเสี่ยงเหล่านี้จะชัดเจน แต่ตลาดมีแนวโน้มว่าจะรับรู้ความเสี่ยงนี้ไปแล้วในระดับหนึ่ง (Priced-in)

Healthcare ValuationHealthcare Valuation | Source: Finnomena Funds, Bloomberg
As of 06/12/2024

ในแง่ของการประเมินมูลค่า หุ้นในกลุ่ม Healthcare ยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ แม้ประมาณการกำไรจะถูกปรับลดลงเล็กน้อย แต่ Valuation โดยรวมยังคงอยู่ในระดับใกล้เคียงค่าเฉลี่ย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเติบโต โดยเฉพาะสำหรับบริษัทที่มีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับโรคเบาหวานและยาลดน้ำหนักที่ตอบโจทย์ความต้องการในตลาด

สรุปมุมมองการลงทุนโดย Finnomena Funds

เนื่องจากกลุ่ม Healthcare ยังคงมีศักยภาพในการเติบโตจากการเพิ่มขึ้นของความต้องการบริการสุขภาพ และนวัตกรรมทางการแพทย์ แม้ว่าจะมีความผันผวนในตลาด และปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในระยะสั้น 

Finnomena Funds จึงมีมุมมอง Neutral โดยแนะนำ “ทยอยสะสม/ถือ” กองทุนหุ้นสุขภาพชั้นดีทั่วโลก ES-HEALTHCARE ที่เน้นลงทุนเกี่ยวกับการดำเนินชีวิต (Life Sciences Orientation) การรักษา หรือการพัฒนาคุณภาพชีวิต รวมถึงลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยพัฒนา ผลิต หรือจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ


อ้างอิง: Reuters, Stock Titan, Seeking Alpha

คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในหมวด Healthcare ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

TSF2024