ทั่วโลกกำลังจับตาการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่จะมีขึ้นในช่วงค่ำวันนี้ (12 กันยายน 2567) โดยคาดการณ์ว่า ECB จะตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ซึ่งจะเป็นการปรับลดครั้งที่สองในปีนี้ หลังจากที่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

เงินเฟ้อต่ำสุดในรอบ 3 ปี สัญญาณดีเศรษฐกิจยุโรป?

การตัดสินใจของ ECB ครั้งนี้ได้รับแรงหนุนจากตัวเลขเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราเงินเฟ้อในเดือนสิงหาคมลดลงเหลือ 2.2% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเศรษฐกิจโดยรวมของยุโรปจะยังคงแข็งแกร่ง แต่เศรษฐกิจเยอรมันซึ่งเป็นเศรษฐกิจหลักของยุโรปกลับหดตัวลง

4 ปัจจัยที่ต้องจับตา

  • ความเห็นที่แตกต่างภายใน ECB 

แม้ว่าตลาดจะคาดการณ์ว่า ECB จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย แต่ภายในคณะกรรมการของ ECB บางส่วนอาจมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว

  • แนวโน้มของตลาดแรงงาน

การเติบโตของค่าจ้างที่แข็งแกร่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการลดอัตราเงินเฟ้อ และอาจทำให้ ECB ต้องระมัดระวังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย

  • ทิศทางของนโยบายการเงินโลก

การตัดสินใจของ ECB จะมีส่วนกำหนดทิศทางนโยบายการเงินโลกในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาร่วมกับการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่จะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า (17-18 กันยายน) ซึ่งคาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเช่นกัน

  • ผลกระทบต่อตลาดการเงิน

การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ ECB จะส่งผลกระทบต่อตลาดการลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าเงินยูโรซึ่งคาดว่าจะอ่อนค่าลง

ทิศทางนโยบายการเงินของ ECB ในอนาคต

Holger Schmieding นักเศรษฐศาสตร์หัวหน้าของ Berenberg Bank มั่นใจว่า การประชุมของ ECB ในคืนนี้จะลงมติลดอัตราดอกเบี้ยอย่างเป็นเอกฉันท์ โดยสังเกตว่าแม้แต่ Joachim Nagel ประธานธนาคารกลางเยอรมนี ซึ่งมักมีท่าทีแข็งกร้าว ก็แสดงท่าทีเปิดไฟเขียวให้ลดดอกเบี้ยครั้งนี้

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า ในเดือนตุลาคม ECB อาจตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ แต่ Philip Lane หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ ECB ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อต่ำเกินไปในระยะยาว หากยังคงอัตราดอกเบี้ยสูงอยู่ ซึ่งอาจเปิดทางให้มีการปรับลดดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาด

การตัดสินใจของ ECB ในครั้งนี้จะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันก่อนการประชุมของ Fed ส่งผลให้นักลงทุนทั่วโลกจับตามองการเคลื่อนไหวของธนาคารกลางทั้งสองแห่งอย่างใกล้ชิด เพื่อคาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจและการเงินโลกในอนาคต


ที่มา: CNBC, Plus500