สัปดาห์นี้ 4 Big Tech เตรียมเปิดงบ คาดกระแส AI ยังมาแรง

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กำลังจับตาการประกาศผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ 4 ราย ได้แก่ Alphabet (GOOGL) , Microsoft (MSFT), Meta (META) และ Apple (AAPL) ท่ามกลางการแข่งขันด้าน AI ที่ทวีความเข้มข้น และความท้าทายที่แตกต่างกันในแต่ละบริษัท

ตารางคาดการณ์วันประกาศงบ

ตารางคาดการณ์วันประกาศงบ | Source: Earnings Whispers as of 25/10/2024

Alphabet: YouTube สะดุด แต่ Cloud และ AI ยังแกร่ง

Alphabet (GOOGL) บริษัทแม่ของ Google เตรียมรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ในวันอังคารที่ 29 ตุลาคมนี้หลังตลาดปิด โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าบริษัทจะมีรายได้ 8.63 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโต 12.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) แม้จะเป็นการเติบโตที่แข็งแกร่ง แต่นับเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำที่สุดในรอบ 1 ปี

ในไตรมาสที่ผ่านมา Alphabet สามารถสร้างผลงานได้เหนือความคาดหมายของตลาด ทั้งในแง่รายได้และกำไร โดยมีกำไรต่อหุ้น 1.89 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 64 บาท) สูงกว่าตลาดคาดไว้ที่ 1.84 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 62 บาท) และมีรายได้ 8.47 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2.86 ล้านล้านบาท) สูงกว่าคาดที่ 8.41 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2.84 ล้านล้านบาท) โดยธุรกิจโฆษณายังคงเป็นแหล่งรายได้หลักซึ่งคิดเป็น 76% ของรายได้สุทธิ

อย่างไรก็ตาม YouTube กำลังเผชิญความท้าทายอย่างหนัก โดยรายได้จากโฆษณาในไตรมาส 2 อยู่ที่ 8.66 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2.92 แสนล้านบาท) ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 8.93 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3 แสนล้านบาท) ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาดโฆษณาวิดีโอดิจิทัล โดยเฉพาะหลังจาก Amazon เปิดตัวบริการ Prime Video Ads ในต้นปี 2024 ที่ผ่านมา

ส่วน Google Cloud กลับกลายเป็น “เดอะแบก” ของบริษัท โดยสร้างรายได้ 9.55 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3.23 แสนล้านบาท) เติบโต 22% เมื่อเทียบกับปีก่อน สะท้อนถึงความสำเร็จจากการลงทุนอย่างหนักในโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ เพื่อไล่ตาม Amazon Web Services และ Microsoft Azure ที่นำตลาดอยู่ในขณะนี้

ที่น่าจับตามองคือ Alphabet ยังคงทุ่มงบประมาณมหาศาลในการพัฒนา AI โดยใช้เงินถึง 2.38 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 8 แสนล้านบาท) ในไตรมาส 2 สำหรับการวิจัยและพัฒนา โดยส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในโครงการที่เกี่ยวข้องกับ AI ล่าสุดบริษัทได้ควบรวมทีม Google Research และ DeepMind เข้าด้วยกันเพื่อจัดตั้งแผนก AI Plus มุ่งเร่งพัฒนาโมเดล AI และผสานเทคโนโลยีเข้ากับผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ

Microsoft: Cloud นำทัพ เกมและ AI หนุนการเติบโต

ด้าน Microsoft (MSFT) ก็ไม่น้อยหน้า โดยนักวิเคราะห์จาก Wall Street คาดว่าบริษัทจะมีกำไรต่อหุ้นที่ 3.08 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 104 บาท) เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายได้สุทธิคาดว่าจะอยู่ที่ 6.44 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2.17 ล้านล้านบาท) เติบโต 14% จากปีก่อน แม้ว่าในช่วง 30 วันที่ผ่านมา ประมาณการกำไรต่อหุ้นของ Microsoft จะถูกปรับลดลงเล็กน้อยที่ 0.1%

ธุรกิจ Intelligent Cloud หนึ่งในเสาหลักของ Microsoft คาดว่าจะสร้างรายได้อยู่ที่ 2.74 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 9.26 แสนล้านบาท) เติบโต 13.2%

ขณะที่ธุรกิจที่ปรึกษาและพัฒนาประสิทธิภาพองค์กร (Productivity and Business Processes) ก็แสดงให้เห็นการเติบโตที่น่าประทับใจ โดยคาดว่าจะมีรายได้ 2.24 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 7.57 แสนล้านบาท) เติบโตอย่างโดดเด่นถึง 21% โดยมี LinkedIn เป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนสำคัญ ด้วยรายได้ที่คาดว่าจะแตะ 4.24 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.43 แสนล้านบาท)

ส่วนธุรกิจ Personal Computing หรือ PC ของ Microsoft คาดว่าจะมีรายได้ 1.44 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 4.87 แสนล้านบาท) เติบโต 5.7% โดยได้แรงหนุนสำคัญจากรายได้จากเกมที่คาดว่าจะเติบโตถึง 32.1% มาอยู่ที่ 5.18 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.75 แสนล้านบาท) ขณะที่รายได้จากธุรกิจ Search and News Advertising ก็แสดงให้เห็นการเติบโตที่แข็งแกร่ง โดยคาดว่าจะอยู่ที่ 3.39 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.14 แสนล้านบาท)  เติบโต 11.1% YoY

Meta: ถูก Bank of America ยกเป็น “หุ้น AI น่าลงทุน”

Meta (META) ยักษ์ใหญ่โซเชียลมีเดียก็เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่น่าจับตามอง โดยจะรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ในวันพุธที่จะถึงนี้ (30 ตุลาคม 2024) หลังตลาดปิด ท่ามกลางความคาดหวังของนักลงทุนว่า Meta จะยังคงรักษาผลงานที่แข็งแกร่งต่อเนื่องจากต้นปี 

โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าบริษัทจะมีรายได้ 4.02 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.35 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ด้านกำไรสุทธิของ Meta คาดว่าจะแตะ 1.35 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 4.56 แสนล้านบาท) หรือ 5.20 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น (ประมาณ 175 บาทต่อหุ้น) เพิ่มขึ้นจาก 1.15 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3.88 แสนล้านบาท) หรือ 4.39 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น (ประมาณ 148 บาทต่อหุ้น) ในปีก่อน

ธุรกิจโฆษณายังคงเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของ Meta โดยในไตรมาส 2/2024 สามารถสร้างรายได้ถึง 3.83 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.29 ล้านล้านบาท) และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.95 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.33 ล้านล้านบาท) ในไตรมาส 3/2024 นี้ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากความสำเร็จในการนำ AI มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งาน

Meta ยังคงเดินหน้าพัฒนาด้าน AI อย่างต่อเนื่อง โดย CEO ของบริษัทอย่าง Mark Zuckerberg เชื่อมั่นว่า Meta AI จะก้าวขึ้นเป็นผู้ช่วย AI ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลกภายในสิ้นปีนี้ หลังจากเปิดตัว Llama 3.2 AI รุ่นใหม่ที่ทรงพลังที่สุดไปเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา เพื่อแข่งขันกับคู่แข่งในตลาด

ขณะที่ทางด้านของ Bank of America ถึงกับจัดให้ Meta เป็น “หุ้น AI ที่น่าลงทุน” โดยชี้ถึงการเติบโตที่แข็งแกร่งของธุรกิจโฆษณา การเพิ่มขึ้นของผู้ใช้งานรุ่นใหม่ และศักยภาพของโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ของบริษัท

Apple: ยอดขาย iPhone ยังเผชิญความท้าทาย

ในส่วนของ Apple (AAPL) ความท้าทายสำคัญมาจากยอดขาย iPhone เป็นหลัก โดยคาดกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 1.593 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 53 บาท) รายได้สุทธิ 9.42 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3.18 ล้านล้านบาท) กำไรสุทธิที่ 2.42 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 8.18 แสนล้านบาท) และ EBITDA ที่ 3.28 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท) ในไตรมาส 4 ปี 2024

ทั้งนี้ การเติบโตของยอดขาย iPhone คาดว่าจะอยู่ที่ 2.5% เนื่องจากกระแสตอบรับของ iPhone 16 อ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ไว้ ประกอบกับรายงานลดแผนการผลิตลง 10 ล้านเครื่อง ที่ยิ่งเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์โดยรวม

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจบริการของ Apple ยังคงแสดงให้เห็นแนวโน้มที่น่าสนใจ โดยคาดว่าจะเติบโตในระดับ Double-Digit ซึ่งจะช่วยรักษาอัตรากำไรจากการดำเนินงานให้แข็งแกร่ง ขณะเดียวกัน บริษัทก็ยังคงพัฒนาความสามารถด้าน AI อย่างต่อเนื่องผ่านฟีเจอร์ Apple Intelligence ที่ผสานรวมอยู่ในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ

กองทุนหุ้นเทคโนโลยี แนะนำโดย Finnomena Funds

Finnomena Funds แนะนำกองทุนหุ้นเทคโนโลยี B-INNOTECH ที่เน้นบริษัทพื้นฐานดีทั่วโลก กระแสเงินสดแข็งแกร่ง และราคาไม่แพง รวมทั้งยังทนทานต่อความผันผวนในระยะสั้นได้ดีตามคำแนะนำ FundTalk Contrarian Call และ MEVT Call

โดย B-INNOTECH มีสัดส่วนการลงทุนใน Microsoft (MSFT) 6.13%, Apple (AAPL) 4.52% และ Alphabet (GOOGL) 3.25% (ข้อมูล ณ วันที่ 28/10/24)

นอกจากนี้ ยังมีกองทุน ES-USBLUECHIP ที่เปิดโอกาสสู่การลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ชั้นดีระดับโลก ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ตามคำแนะนำ Mr.Messenger Call โดย ES-USBLUECHIP มีสัดส่วนการลงทุนใน Microsoft (MSFT) 9.64% และ Apple (AAPL) 9.60%

“ดูคำแนะนำทั้งหมดได้ที่ 👉 Opportunity Hub แหล่งรวมโอกาสการลงทุนจาก Finnomena”


อ้างอิง: Yahoo Finance’s Alphabet, Yahoo Finance’s Microsoft, Investopedia, IG.com UK

คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

TSF2024