การเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่ได้รับความสนใจจากคนทั่วโลก เพราะด้วยความที่สหรัฐฯ เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและการทหารอันดับ 1 ของโลก การเปลี่ยนแปลงผู้นำในแต่ละครั้งจึงส่งผลกระทบต่อทิศทางการเมืองและเศรษฐกิจระดับโลกอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อให้เข้าใจภาพรวมของการเลือกตั้งสหรัฐฯ Finnomena ได้สรุป 10 ข้อน่ารู้ที่จะช่วยให้เข้าใจเกี่ยวกับการตั้งสหรัฐฯ ได้ดียิ่งขึ้น
1. ระบบการเลือกตั้งของสหรัฐฯ จะเป็นแบบ Electoral College คือประชาชนเลือกคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) เพื่อเป็นตัวแทนไปเลือกประธานาธิบดี (Electoral Vote) โดยผู้ที่จะเป็นประธานาธิบดีต้องได้คะแนนจากคณะผู้เลือกตั้งของรัฐต่าง ๆ รวมกันอย่างน้อย 270 เสียง จากจำนวนทั้งสิ้น 538 เสียง
2. Donald Trump เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุ 27 และเป็นบุคคลที่ร่ำรวยเป็นอันดับ 536 ของโลก
3. Kamala Harris เป็นผู้หญิงชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียคนแรก และชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันคนแรก ที่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุดรัฐแคลิฟอร์เนีย
4. ประวัติศาสตร์และจุดยืน 2 พรรคการเมือง
- พรรคเดโมแครต (Democratic Party)
เป็นพรรคเก่าแก่ของอเมริกา ก่อตั้งขึ้นจากกลุ่มที่แยกตัวออกมาจากพรรคเดโมแครต-รีพับลิกัน ในยุคแรก ๆ พรรคเน้นสิทธิของรัฐและต่อต้านการแทรกแซงจากรัฐบาลกลาง
ปัจจุบันพรรคเดโมแครตเน้นไปที่นโยบายเรื่องการปกป้องสิ่งแวดล้อม ความยุติธรรมทางสังคม ความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจ และการปรับปรุงความเป็นอยู่ของชนชั้นกลางและชนกลุ่มน้อย
- พรรครีพับลิกัน (Republican Party)
ก่อตั้งขึ้นในปี 1854 โดยกลุ่มที่คัดค้านการค้าทาสในสหรัฐฯ พรรคนี้ยืนหยัดเพื่อการเลิกทาส มีแนวทางที่เน้นค่านิยมแบบอนุรักษ์นิยม และสนับสนุนระบบเศรษฐกิจแบบตลาดเสรี
ปัจจุบันพรรครีพับลิกันได้มุ่งเน้นการอนุรักษ์นิยมทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงความมั่นคงของชาติ และเน้นการเพิ่มศักยภาพทางการตลาด
5. รัฐ Swing State เป็นรัฐที่ผลการเลือกตั้งสามารถออกได้ทั้ง 2 หน้า มี 7 รัฐ ดังนี้ แอริโซนา, จอร์เจีย, มิชิแกน, เนวาดา, นอร์ทแคโรไลนา, เพนซิลเวเนีย และวิสคอนซิน
6. ไทม์ไลน์การเลือกตั้ง เลือกวันไหน รู้ผลเมื่อไหร่
- 5 พฤศจิกายน 2024: เลือกตั้งทั่วไป
- 6 พฤศจิกายน 2024: จะทราบผลคร่าว ๆ ของผู้ชนะอย่างไม่เป็นทางการ
- 11 ธันวาคม 2024: แต่ละรัฐจะเป็นผู้ประกาศรับรองผล เมื่อทุกหน่วยนับคะแนนครบ
- 25 ธันวาคม 2024: ผลคะแนนส่งไปให้ประธานวุฒิสภา
- 6 มกราคม 2025: สภาคองเกรสนับและยืนยันผลการเลือกตั้ง
- 20 มกราคม 2025: ประธานาธิบดีคนใหม่สาบานตน
7. สรุปนโยบายสำคัญ
Kamala Harris
- ระมัดระวังในความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ยึดถือแนวคิดแข่งขันแต่ไม่ให้เกิดความขัดแย้งใหญ่
- เก็บภาษีแบบเจาะจงตามแนวทางของ Biden
- จำกัดการส่งออกเทคโนโลยีสำคัญโดยเฉพาะ AI
- มีความชัดเจนที่จะร่วมมือกับพันธมิตรในเอเชีย เช่น ไต้หวันเพื่อกดดันจีนทางอ้อม
Donald Trump
- อาจพิจารณาตัดสัมพันธ์หรือเพิ่มภาษีกับจีน
- เก็บภาษีแบบกว้างและยกเลิกสถานะพิเศษของจีน
- เพิ่มความเข้มงวดเพื่อป้องกันอิทธิพลของจีนในเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ
- “อเมริกาต้องมาก่อน” จะเข้าร่วมการทูตก็ต่อเมื่อเห็นว่ามีประโยชน์
8. ความเคลื่อนไหวของผลตอบแทนของตลาดหุ้นราย Sector ในช่วงของการเลือกตั้งไม่ได้มี Pattern ที่ชัดเจนอย่างมีนัยยะสำคัญ
9. ตลาดหุ้นมักมีความกังวลในระยะสั้นระหว่างการเลือกตั้ง แต่ความผันผวนจะกลับสู่ระดับปกติเมื่อเหตุการณ์นี้ผ่านพ้นไป
10. แต่หลังเลือกตั้ง ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มักปรับตัวขึ้นต่อ และโดดเด่นกว่าปีที่ไม่มีเลือกตั้ง
อ้างอิง: BBC, Forbes, U.S. Embassy, Finnomena, The Standard