เหลือบมองเวียดนาม ประเทศแห่งโอกาส!?
ในช่วงเร็วๆนี้ หลายคนสนใจที่จะลงทุนในต่างประเทศโดยเฉพาะในประเทศเวียดนาม ก่อนที่เราจะเอาเงินไปลงทุนที่เวียดนาม เราต้องรู้สตอรี่และปัจจัยพื้นฐานของประเทศเวียดนามว่าเป็นอย่างไร ปัจจัยใดที่ทำให้ประเทศนี้มีความน่าสนใจ…
เริ่มเลยเรามาดูการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของประเทศเวียดนาม เมื่อเทียบกับประเทศข้างเคียงรวมถึงไทยเราด้วยจะเป็นอย่างไร … การเติบโตของ GDP เวียดนามนั้นใน 3-4 ปี ที่ผ่านมานั้นเติบโตเมื่อเทียบกับปีก่อนอยู่ในระดับที่สูง (5-6%) มาโดยตลอด และไตรมาส 4 ของปี 2558 ก็โตเกิน 7% ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วดังแสดงในรูป
ซึ่ง GDP ของเวียดนามนั้นส่วนที่ขับเคลื่อนเศรษกิจคือ การส่งออก (86.4% ของ GDP รวม) และการบริโภคภาคครัวเรือน (65.8% ของ GDP รวม) ดังรูปด้านล่าง
แล้วการเติบโตนี้จะดำเนินต่อไปหรือไม่ ??
ตลาดพูดถึงหลายปัจจัย แต่ขอยกมาให้ดูเพียงบางส่วนเท่านั้น!
ปัจจัยแรกเลย ด้านประชากรศาสตร์ จะเห็นว่าสัดส่วนคนทำงาน (<60 ปี) มีสัดส่วนที่มาก อยู่ที่ประมาณ 90% ของประชากรทั้งหมด กลุ่มคนพวกนี้เป็นกำลังหลักที่จะผลักดันเศรษฐกิจของประเทศให้ไปข้างหน้า….
จากรูปจะเห็นว่าช่วงอายุคนที่มีจำนวนมากที่สุดของประเทศคือ กลุ่มคน (20-29 ปี) ซึ่งกลุ่มคนนี้ อยู่ในช่วงเริ่มที่จะเข้าสู่การทำงาน และจะผลักดันให้การบริโภคในประเทศเติบโตขึ้นอย่างมาก! (ปัจจุบันการบริโภค มีสัดส่วนประมาณ 65% ของ GDP)
ปัจจัยถัดมาจะเป็นอะไรไปไม่ได้เลย ถ้าไม่ใช่เรื่อง ความตกลงทางหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ ภาคพื้นแปซิฟิค หรือ TPP (Trans pacific partnership)
แล้ว TPP ที่พูดถึงนี้มันคืออะไรล่ะ? มันจะสนับสนุนการเติบโตของประเทศได้อย่างไร? ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆเลยคือ TPP นี้จะกระตุ้นการส่งออกและการนำเข้าของแต่ละประเทศ โดยยกเลิกภาษีนำเข้า ในกลุ่ม 12 ประเทศ (เช่น US, ญี่ปุ่น และ แคนาดา) ซึ่งมี GDP รวมกันคิดเป็นประมาณ 40 % ของ GDP โลก
และที่สำคัญคือ US เป็นตลาดหลักของเวียดนามดังนั้น การยกเลิกภาษีนำเข้าจะทำให้สินค้าจำพวก เสื้อผ้า รองเท้า สิ่งทอต่างๆ ของเวียดนาม ซึ่งปกติถูกเก็บภาษีนำเข้าจาก US ถึง 20 % เข้าสู่ตลาด US ได้มากขึ้น
ปัจจัยอีกปัจจัยคือเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ หรือ FDI
ประเทศเวียดนามได้มีการทำสัญญาการค้ากับหลายประเทศ โดยมีปัจจัยการผลิตที่ได้เปรียบกว่าที่อื่นคือ ค่าแรงที่ถูกกว่าที่อื่นมากดังรูปด้านล่าง หากเราสนใจประเทศในกลุ่ม ASEAN และจีน พบว่าเวียดนาม มีค่าแรงอยู่ที่ระดับต่ำมาก USD 3.55 หรือประมาณ 125 บาทต่อวันเท่านั้น เมื่อเทียบกับ ประเทศจีนที่เคยค่าแรงถูก ปัจจุบันอยู่ที่ USD 4.21 หรือแม้แต่ไทยเราอยู่สูงถึง USD 8.36
จากรูปด้านบน จะเห็นได้ว่าเวียดนามได้เปรียบในด้านอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานที่สูง อย่างเช่นอุตสาหกรรมอิเล็คโทรนิค อุตสาหกรรมสิ่งทอ ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทต่างๆได้ย้ายฐานการผลิตมาประเทศเวียดนาม โดยเฉพาะจากจีน
โดยในปีที่ผ่านมา เกาหลีใต้เข้ามาลงทุนมากที่สุด ส่งผลดีกับประเทศอย่างมาก เพราะอุตสาหกรรมในประเทศจะได้รับการพัฒนาจากเทคโนโลยีของต่างประเทศ เกิดการจ้างงานที่เพิ่มมากขึ้น
ในส่วนของราคาตลาดหุ้นประเทศเวียดนามเทียบกับบ้านเราเป็นอย่างไรบ้าง ?
ประเมินกันไวๆ เวียดนาม ตลาดหลักคือ HOSE หรือ (Ho Chi Minh Stock Exchange) มี Market cap อยู่ที่ประมาณ 1.77 ล้านล้านบาท (ข้อมูลเดือน กุมภาพันธ์ 59) และ GDP ในปี 2558 อยู่ที่ 6.63 ล้านล้านบาท
ส่วนไทย ตลาดหลักของเราคือ SET นั่นเองซึ่งมี Market cap อยู่ที่ประมาณ 12.42 ล้านล้านบาท (ข้อมูลเดือน มกราคม 59) และ GDP ของปี 2558 อยู่ที่ 13.13 ล้านล้านบาท
จากข้อมูลสองประเทศนี้ก็จะเห็นว่าสัดส่วน มูลค่าตลาดหุ้นต่อ GDP ของประเทศเวียดนามอยู่ที่ 26.7 % แต่ในขณะที่ไทยอยู่ที่ 94.5 % ดังนั้นหากมองตลาดหุ้นเวียดนามเทียบกับเพื่อนบ้านเช่นไทย ตลาดหุ้นเวียดนามนั้นยังสามารถโตได้อีกมาก
ดังนั้นจะเห็นว่าตลาดหุ้นไทยแพงกว่ามาก !! โอกาสยังมีอยู่ที่อื่น อย่าปิดโอกาสตัวเองไว้แค่ประเทศเดียวไม่มีใครกำหนดว่าจะต้องซื้อเฉพาะหุ้นไทย นักลงทุนที่ดีควรแสวงหาโอกาส เพื่อรับผลตอบแทนที่ดีกว่าเสมอ แต่ต้องไม่ลืมว่าเราจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในสินทรัพย์ที่เราจะไปลงทุนเช่นกัน