ตลาดหุ้นไทยในเดือนพฤษภาคม ยังไม่มีปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “Sell in May and Go Away” และตลาดหุ้นไทยมี Performance ที่ดีในครึ่งหลังของเดือนพฤษภาคมดีกว่าครึ่งแรกของเดือนพฤษภาคม ซึ่งตรงข้ามกับความคิดของนักวิเคราะห์โดยส่วนใหญ่ สาเหตุคือการที่นายเอมมานูเอล มาครองชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสส่งผลต่อค่าเงิน Euro ปรับตัวแข็งขึ้น Fund Flow ไหลเข้าภูมิภาคยุโรปเป็นอันดับแรก ค่าเงิน US$ อ่อนค่าลง
- นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา นักลงทุนต่างประเทศเป็นผู้ซื้อพันธบัตรระยะสั้น 36,000 ล้านบาทและพันธบัตรระยะยาว 21,000 ล้านบาท บ่งบอกถึงการ renewed risk on appetite ของ EM และในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างประเทศ Long ตลาดอนุพันธ์ 22,000 สัญญา บ่งบอกตลาดทุนปรับตัวดีขึ้นระยะสั้น
- ถ้าดูตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมาเป็นเวลา 5 เดือน นักลงทุนต่างประเทศซื้อพันธบัตรระยะสั้น 138,000 ล้านบาท และซื้อพันธบัตรระยะยาว 82,000 ล้านบาท สอดคล้องกับในตลาด EM ที่มีนักลงทุนต่างประเทศซื้อพันธบัตรใน EM ประมาณ 33 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็น Flow สูงสุดเท่าที่มีมาหรือถือเป็น Recorded Flow
- นักลงทุนตลาดหุ้นโดยส่วนใหญ่หรือ Consensus เชื่อว่า Fed จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ มุมมองคือ ตลาดทุนน่าจะตอบสนองในทางบวก ไม่ว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่ก็ตาม
- กรณีที่หนึ่ง ถ้า Fed ขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายนตาม Consensus และตลาดได้ Pricing ไปแล้ว
- กรณีที่สอง ถ้า Fed ไม่ขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็น Against Consensus View ตลาดทุนจะมี Relief Rally และ Dot Plot จะปรับตัวลดลงและจะก่อให้เกิดภาวะ Actions เป็นตัว Drive Fund Flow
- มองว่าหุ้นกลุ่มที่มี Distressed Value Play เช่น หุ้นที่มี Discount จากมูลค่าทางบัญชีสูงๆ จะ Outperform หุ้นที่มี Earning ที่ Turnaround เช่นในกลุ่ม Automobile กลุ่ม Technology ที่เกี่ยวกับ Community Fixed Broadband หรือ กลุ่ม Telecom บางบริษัทจะ Outperform
- ยังคงมองว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสทดสอบ 1600 ในไตรมาส 2 หุ้น Petrochemical สาย PVC (นักอุตสาหกรรมคาดว่า Spread ของ PVC จะปรับเพิ่มขึ้นอีก 20-50% ใน 12-18 เดือนข้างหน้าเนื่องจากการปิดโรงงานที่ประเทศจีนจากการควบคุมสภาวะแวดล้อมและการขาดแคลน Caustic Soda ทำให้ราคา Caustic Soda ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก) และสาย MEG จะ Outperform ในไตรมาส2 หุ้นกลุ่ม Container จะ Outperform ในครึ่งหลังของปี 2017 กลุ่มโรงไฟฟ้าจะ Outperform
- และปรากฏการณ์ของ Underperformance ของกลุ่ม Hospital เป็นปรากฏการณ์ของทั้งภูมิภาคเอเชีย และมองว่ายังคงมี Downside สำหรับหุ้นกลุ่ม Healthcare
ที่มาบทความ : https://www.facebook.com/Trinitysecuritiesgroup
แท็ก: