ในสภาวะความไม่แน่นอนสูง นักลงทุนต่างชาติยังไม่เข้าซื้อหุ้น และทำการขายพันธบัตรระยะสั้นเป็นจำนวน 8,366.87 ล้านบาท ในเดือนต.ค. 2559 ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่าค่าเงินบาทจะอ่อนตัวลงในระยะสั้น แต่เข้าซื้อพันธบัตรระยะยาวเป็นจำนวน 13,419.67 ล้านบาท ในเดือนต.ค. 2559 แสดงว่าภาวะ Hungry for yields ยังคงมีต่อเนื่อง
- ตลาดทุนทั่วโลกชะลอตัวลง โดยที่มีความผันผวนและปริมาณการซื้อขายต่ำลง เนื่องจากรอการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯในวันที่ 8 พ.ย. 2559
- เราได้ทำสรุปผลกระทบโดยแบ่งเป็น 6 กรณีศึกษา โดยที่หากไม่มี Tail risk เกิดขึ้น ตลาดทุนจะกลับสู่ขาขึ้นหรืออย่างน้อย Sideway แต่หากมี Tail risk ตลาดทุนจะปรับตัวลงอย่างแรง
- ให้น้ำหนักการลงทุนหุ้นกลุ่ม Alpha stock ที่มีคุณสมบัติเฉพาะตัว, underowned stock, undervalued stock, หุ้นที่มี theme, แต่น้ำมัน มี Upside surprise จากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ถ้าการเจรจาของ OPEC ประสบความสำเร็จ
- หุ้นกลุ่มขนาดกลางจะมีผลตอบแทนสูงกว่าหุ้นกลุ่มขนาดใหญ่
แบบจำลองผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ
กรณีที่ 1 Clinton ชนะขาด
Clinton ชนะการเลือกตั้งแบบขาดลอย และชนะทั้งวุฒิสภา (Senate) และ สภาผู้แทนราษฎร (House of Representative) ค่าเงินดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้น, อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้น และตลาดหุ้นของตลาดเกิดใหม่ (Emerging market) จะปรับตัวลง
กรณีที่ 2 Clinton ชนะการเลือกตั้ง
แต่เสียงของรัฐสภาแบ่งแยกกัน (Split) : โดยวุฒิสภาเป็นของกลุ่ม Democrat แต่ สภาผู้แทนราษฎร เป็นของกลุ่ม Republican ค่าเงินดอลลาร์จะ Sideway หรือปรับตัวอ่อนค่าลง, อัตราผลตอบแทนพันธบัตร Sideway และตลาดหุ้นของตลาดเกิดใหม่จะดี
กรณีที่ 3 Clinton ชนะการเลือกตั้ง แต่ Republican ได้ Congress ทั้งหมด
ค่าเงินดอลลาร์จะ Sideway หรือปรับตัวอ่อนค่าลง, อัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะปรับตัวสูงขึ้น และตลาดหุ้นของตลาดเกิดใหม่จะ sideway
กรณีที่ 4 Trump ชนะขาด
Trump ชนะการเลือกตั้งแบบขาดลอย และชนะทั้ง วุฒิสภา (Senate) และ สภาผู้แทนราษฎร (House of Representative) ค่าเงินดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้น, อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้น แต่ตลาดหุ้นของตลาดเกิดใหม่ (Emerging market) จะปรับตัวลง
กรณีที่ 5 Trump ชนะการเลือกตั้ง แต่เสียงของรัฐสภาแบ่งแยกกัน (Split)
โดยวุฒิสภาเป็นของกลุ่ม Democrat แต่ สภาผู้แทนราษฎร เป็นของกลุ่ม Republican ค่าเงินดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้น, อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้น แต่ตลาดหุ้นของตลาดเกิดใหม่จะไม่ดี
กรณีที่ 6 Trump ชนะการเลือกตั้ง แต่ Democrat ได้ Congress ทั้งหมด
ค่าเงินดอลลาร์จะ Sideway หรือปรับตัวอ่อนค่าลง, อัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะ Sideway และตลาดหุ้นของตลาดเกิดใหม่จะ Sideway
US election outcome
- เพราะฉะนั้น นักลงทุนจะต้องดู Composition ของ Congress ประกอบกับการดูผลของการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ว่าใครจะชนะการเลือกตั้ง
- ตลาดเกิดใหม่จะดีก็ต่อเมื่อ Clinton ชนะแต่ไม่ใช่แบบชนะทั้งสองสภา เนื่องจากหากพรรคใดพรรคหนึ่งชนะ และประธานาธิบดีมีอำนาจสูง จะนำไปสู่นโยบายการคลังที่แข็งแกร่ง การจ้างงานเพิ่มขึ้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้น เศรษฐกิจสหรัฐฯจะดี และมีเงินไหลกลับประเทศสูง
- มีโอกาสครึ่งหนึ่ง ที่ Democrat จะชนะการเลือกตั้ง และ Congress Split
- มีโอกาสหนึ่งในสี่ ที่ Democrat ชนะ แต่ Republican ได้ทั้ง Congress
- หากนำสองกรณีมารวมกัน จะมีโอกาสเกือบ 75% ที่ตลาดเกิดใหม่จะดีขึ้น หรืออย่างน้อย Sideway จากการที่ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง
- Tail risk จะสูง หาก Trump ชนะการเลือกตั้งทั้งหมด หรือ Clinton ชนะหมด (ทั้งวุฒิสมาชิกและสภาผู้แทนราษฎร) ซึ่งมีโอกาสประมาณ 15% ตลาดหุ้นมีโอกาสสูงที่จะปรับตัวลดลง
- ทั้ง Clinton และ Trump มีนโยบายเก็บภาษีเงินโอนกลับสหรัฐฯ โดยที่ Trump มีนโยบาย Homeland Investment Act ที่จะลดภาษีจากเดิม 37% ลงเป็น 10% ซึ่งคาดว่าจะมีเงินไหลกลับไปยังสหรัฐฯ จำนวนมาก ในขณะที่ Clinton มีนโยบาย Exit Tax ของเงินโอนกลับ หรือ International Transfer แต่ยังไม่ได้กำหนดอัตราภาษีใหม่
ที่มาบทความ : https://www.facebook.com/Trinitysecuritiesgroup/