ในสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยได้มาทดสอบระดับ 1480-1500 และจุด 1480 ยังคงสามารถ Support ได้
- มุมมองยังคงเหมือนเดิม คือ
1.) หุ้นในไตรมาส 3 จะมีสภาพคล่องสูงสุด และหุ้นในไตรมาส 3 จะดีกว่าไตรมาส 4
2.) การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ จะมีผลต่อฟันด์โฟลว์โลก - สิ่งที่กำหนด Fund Flow ที่สำคัญที่สุดคือ มุมมองของ Janet Yellen ต่อมุมมองเศรษฐกิจและการขึ้นนโยบายดอกเบี้ยครั้งต่อไปของ Fed โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การประชุมที่ Jackson Hole วันที่ 26 สิงหาคม ซึ่งหากมีมุมมองในเชิง Dovish ก็จะส่งผลให้ SET Index เป็น Sideway up อีกครั้ง
- มุมมองยังคงคาดว่า SET Index เป็น Sideway up ถ้า Fund Flow ที่เข้ามาเหมือนปี 2010 และ 2012 เราอาจจะเห็นหุ้นในปี 2016 เป็น Sideway up ติดต่อกัน 7 เดือน (นับตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้เป็นต้นมา) เหมือนปี 2010 และ 2012 (อ่านมุมมอง ดร.วิศิษฐ์ ฉบับที่ผ่านมา) และ Consensus เริ่มมองตลาดหุ้นมาสู่ระดับ 1580-1600 จากที่นักลงทุนเริ่มมองระดับ EPS ของปี 2560 ที่ 105 บาท
- มองตลาดหุ้นช่วงนี้เป็น Liquidity Driven Market ในไตรมาส 3 หรือถูกผลักดันโดย Fund Flow ปัจจัยบวก
1.) การผ่านประชามติของรัฐธรรมนูญไทย
2.) คาดว่า Janet Yellen ประธาน Fed จะมีท่าทีที่คงนโยบายการเงินผ่อนคลาย (การประชุมสำคัญที่ Jackson Hole วันที่ 26 สิงหาคม)
3.) ไทยมี Bond Yields ที่เกือบต่ำเป็นประวัติการ ทำให้ Theme ของ Searching For Yields ยังคงต่อเนื่อง
4.) ตลาดหุ้นทั่วโลกคาดการณ์เศรษฐกิจแบบ Reflation (การฟื้นตัว) ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ หุ้นกลุ่ม Emerging Market, กลุ่มบริโภคภายในและกลุ่มบริโภคที่มียอดขายใน AEC สูงจะ Outperform
5.) การเพิ่มของงบการคลังของทั่วโลกทำให้กลุ่ม Infrastructure Outperform - จุดที่ควรระวังที่ Bull Market ในตลาด Emerging Market จะสะดุดต่อเมื่อ
1.) ถ้าราคาน้ำมันปิดต่ำกว่า US$ 40 (brent) ต่อ Barrel หรือค่าเงิน RMB ของจีนอ่อนค่าลง
2.) การที่ Bond Yield เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน นำไปสู่ภาวะ Bond Shock
แต่ถ้าสองประเด็นหลักนี้ไม่เกิดขึ้น ตลาดหุ้นก็จะ sideway up อย่างต่อเนื่อง - หุ้น Laggard จะกลับมา Outperform
ที่มาบทความ : https://www.facebook.com/Trinitysecuritiesgroup/photos/a.177983115551319.50414.177733592242938/1368784403137845/?type=3&theater
แท็ก: