dr.wisit-1-5-08

    • ในเดือน ก.ค. เดือนเดียว Fund Flow ไหลเข้าสู่ตลาดตราสารหนี้ของตลาดเกิดใหม่ (Dedicated EM Debt Fund) เป็นจำนวนถึง US$ 11 bn ซึ่งเป็นเกือบ 66% ของ Fund Flow ในรอบ 7 เดือน (ข้อมูล EPFR) ซึ่งเป็นฟันด์โฟลว์ที่เข้าตลาด EM สูงเป็นอันดับ 3 ในรอบ 7 ปี แต่เป็นฟันด์โฟลว์ที่ต่ำกว่าประมาณ 20-35% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2010 (SET Index ไต่จาก 736 ไปสู่ 1056) และ 2012 (SET Index ไต่จาก 1036 ไปสู่ 1402)

  • ถ้าภาพฟันด์โฟลว์ที่คล้ายปี 2010 และ 2012 เป็นจริง เราอาจจะเห็นการพัฒนาของ SET Index มีกรอบการเคลื่อนไหวเหมือนปี 2010 และ 2012 และ SET Index จะ Sideway up
  • สิ่งที่กำหนด Fund Flow ไหลเข้า คือ การต้องการผลตอบแทน (Yields ที่ต่ำกว่าของตลาดที่พัฒนาแล้วเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดเกิดใหม่) ผลตอบแทนในอดีตและค่า VIX ที่ต่ำ ซึ่งหมายความว่าคงจะมี Fund Flow เข้ามาอีกในปริมาณใกล้เคียงกัน 7 เดือนแรกของปีนี้ไหลเข้ามาในชวงครึ่งหลังของปีนี้
  • Catalysts สำหรับฟันด์โฟลว์ไหลเข้า คือ ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงระหว่าง DM (ตลาดที่พัฒนาแล้ว) กับ EM (ตลาดที่เกิดใหม่) ที่เกือบจะสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3.5% ในขณะที่ค่าเฉลี่ยในอดีตอยู่ที่ 2%
  • โดยเฉลี่ยตลาดหุ้นไทยในรอบ 17 ปีที่ผ่านมา จุดสูงสุดของ SET Index จะมากกว่าจุดต่ำสุดประมาณ 367 จุด ถ้าเราเชื่อว่าจุดต่ำสุดตลาดหุ้นไทยที่ 1250 จุดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จุดสูงสุดตลาดหุ้นไทยจะอยู่ที่ 1617 ซึ่งเป็นระดับ PE(X) 15.4 เท่า สำหรับ EPS ปี 2017 ที่ 105 บาท/หุ้นนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เริ่มขยับเป้า SET Index มาที่ 1600 และเป็น Consensus ในที่สุด หรือเพิ่มขึ้นอีกเพียง 70-80 จุดจากปัจจุบัน
  • แต่ในระยะสั้น ตลาดหุ้นอาจจะปรับฐานสู่ระดับ 1480-1500
  • เราได้เห็นหุ้นที่ชื่นชอบของนักลงทุนต่างประเทศและสถาบันได้ Rally ขึ้นมา เช่น กลุ่ม Infrastructure ทั้งต้นน้ำและปลายน้ำ กลุ่มบริโภคภายใน กลุ่มสถาบันการเงิน
  • ในระยะสั้นๆ เนื่องจากราคาน้ำมันปรับตัวลดลง Bond Yield อาจจะปรับตัวลดลงต่อ ปรากฏการณ์ของ Search For Yield ทั้งในตลาดทุนและตลาดพันธบัตรยังคงมีต่อเนื่อง แต่ถ้าราคาน้ำมันเปลี่ยนทิศ อาจเกิดการ Bond Shock ได้และ หุ้นจะถูก Drawdown (ขายทำกำไร) ในที่สุด
  • สิ่งที่นักลงทุนต้องระวังอย่างมาก คือ เมื่อราคาพันธบัตรและราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นพร้อมกัน และมี Theme ที่เหมือนกันคือ Search For Yield จะทำให้มูลค่าของทั้งหุ้นและพันธบัตรจะสูงกว่าความเป็นจริงไปมาก และมีความสุ่มเสี่ยงอย่างมากต่อเหตุการณ์ Shocks หลายๆอย่าง เช่น Bond Shocks ค่า Bond Yield ปรับขึ้นอย่างฉับพลัน และถ้ามีการ Drawdown ในหุ้น ราคาหุ้นจะปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจจะเกิดในระหว่าง 3-6 เดือนข้างหน้า ยังคงคาดว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐจะมีผลต่อ Flow โลก
  • และยังคงมุมมองว่าหุ้นในไตรมาส 3 จะดีกว่าไตรมาส 4

ที่มาบทความ : https://www.facebook.com/Trinitysecuritiesgroup/photos/a.177983115551319.50414.177733592242938/1363028483713437/?type=3&theater