“การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน” นี่เป็นคำกล่าวที่ผมคิดว่าเป็นจริง ทุกคนต่างก็มีความคิดเห็นทางการเมืองของตนเองและถ้าเปิดโอกาสให้แสดงออก “อย่างเสรี” เขาก็จะพูดหรือแสดงออกมา ความคิดทางการเมืองนั้น ก็เช่นเดียวกับเรื่องอื่น ๆ ทางสังคม มีวิวัฒนาการมายาวนานตั้งแต่มนุษย์เริ่มสร้างสังคม อยู่กันเป็นหมู่บ้าน เมือง และกลายเป็นรัฐและประเทศ เริ่มต้นนั้น การเมืองการปกครองก็เริ่มต้นโดยผู้ปกครองที่มี “อำนาจ” ในการสั่งการให้ผู้คนปฏิบัติตามเพื่อให้สังคมอยู่ในระบบหรือกฎเกณฑ์ที่จะทำให้คนที่อยู่ในสังคมสามารถร่วมกันจัดการงานต่าง ๆ ที่จะทำให้คนส่วนใหญ่มีโอกาสที่จะ “อยู่รอด” มากขึ้น อำนาจของคนในช่วงแรก ๆ นั้น มักจะมาจากความสามารถหรือคุณสมบัติส่วนตัว เช่น เป็นผู้ชาย เป็นคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่แข็งแรง เป็นต้น ต่อมาเมื่อมนุษย์เจริญขึ้น คนที่มีอำนาจก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป เช่น กลายเป็นคนที่ฉลาด มีความรู้ และได้รับการศึกษามากกว่า เป็นต้น
กระบวนการเปลี่ยนแปลงของอำนาจจากคนกลุ่มหนึ่งไปสู่คนอีกกลุ่มหนึ่งนั้น มักจะเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย บ่อยครั้งก็เกิดการต่อสู้กลายเป็นสงครามที่ทำให้คนล้มตายไปจำนวนมาก เหตุผลก็เพราะคนที่อยู่ในอำนาจนั้น มักจะได้รับผลประโยชน์มากมายในขณะที่คนที่ “ไม่มีอำนาจ” ซึ่งมักเป็นคนที่ “ด้อยกว่า” อาจจะเนื่องจากการเกิดหรือการถูกกดขี่เอาเปรียบจากระบบการเมืองหรือสังคมเดิมนั้น ต้องเป็นผู้รับภาระต่าง ๆ ผ่าน “ระบบ” ต่าง ๆ เช่น ภาษีหรือกฎหมายที่ “ไม่ยุติธรรม” สำหรับพวกเขา
ระบบของ “อำนาจ” นั้น ในช่วงที่โลกยังไม่เจริญก็มักจะอยู่ในมือของคนจำนวนน้อยถึงน้อยมาก ตัวอย่างเช่น ฟาโรห์ของอียิปต์ เป็นต้น ต่อมาเมื่อโลกเจริญขึ้นเรื่อย ๆ จำนวนคนที่มีอำนาจก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่จำนวนคน “มีอำนาจ” ที่เพิ่มเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาตินั้น เพิ่งจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้หรือไม่เกินร้อยกว่าปี นั่นก็คือวันที่โลกยอมรับว่า “ผู้หญิง” ก็มีอำนาจเท่า ๆ กับผู้ชาย เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการศึกษา ผู้หญิงหรือผู้ชายก็มีความสามารถไม่แพ้กัน
นอกจากเรื่องของอำนาจแล้ว แนวความคิดหรือหลักการว่าคนบางคนหรือบางกลุ่มนั้นมีอำนาจมากกว่าคนอื่นเองนั้น ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง เริ่มต้นนั้นก็เช่นเดียวกัน คนที่มีอำนาจสูงสุดหรือเด็ดขาดมีเพียงคนเดียวหรือน้อยมาก ต่อมาเมื่อสังคมใหญ่และซับซ้อนขึ้น จำนวนคนที่มีอำนาจมากก็เพิ่มขึ้น และเมื่อโลกเจริญขึ้นที่ส่งผลให้คนมีการศึกษามากขึ้น พวกเขาก็ต้องการที่จะมีอำนาจมากขึ้น จนมาถึงจุดหนึ่ง สังคมหรือประเทศที่เจริญก้าวหน้ามากที่สุดก็ไม่สามารถที่จะ “กีดกัน” คนบางคนหรือบางกลุ่มไม่ให้มีอำนาจ และนั่นทำให้คนทั้งประเทศ “มีอำนาจเท่ากันหมด” ในทางกฎหมาย และนี่ก็คือระบบ “ประชาธิปไตย” ที่ไม่มีใครมีอภิสิทธิ์แม้แต่ผู้นำประเทศที่เป็นประธานาธิบดีอย่างของสหรัฐอเมริกา เป็นต้น
ในประเทศที่ยังไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างเต็มที่นั้น การจัดสรรอำนาจก็จะลดหลั่นกันไป คนบางคนหรือบางกลุ่มก็มักจะมีอำนาจมากกว่าคนอื่น คนที่มีอำนาจน้อยกว่าคนอื่นเองนั้นก็ยังอาจจะมีมากและพวกเขายัง “ยอมรับ” หรือไม่สามารถที่จะ “ต่อสู้” เพื่อเพิ่มอำนาจของตนเองให้เท่าเทียมกับคนอื่นที่ “อยู่ในอำนาจ” อย่างไรก็ตาม ความก้าวหน้าของประเทศและสังคมที่ดำเนินไปเรื่อย ๆ บางทีอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับอดีตร้อยหรือหลายร้อยปีที่ผ่านมานั้น ทำให้คนที่มีอำนาจน้อยสามารถเพิ่มศักยภาพหรือความสามารถของตนขึ้นมาเรื่อย ๆ และเมื่อถึงวันหนึ่ง พวกเขาก็อยากที่จะมีอำนาจเท่า ๆ กับคนอื่นและถ้าถูกปฏิเสธหรือถูกกีดกัน พวกเขาก็จะลุกขึ้นมา “ต่อสู้” ด้วยวิธีการต่าง ๆ และนั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติมาตลอด
ในสังคมของประเทศที่พัฒนาแล้วและทุกคนมีอำนาจเท่า ๆ กันแล้ว ความคิดทางการเมืองก็จะเปลี่ยนเป็นเรื่องของสิทธิและเสรีภาพที่เขาจะทำได้ถ้าสิ่งนั้นไม่ได้เดือดร้อนใครหรือทำให้คนอื่นเสียสิทธิอันชอบธรรมของตนเอง คนที่มีแนวโน้มที่สนับสนุนแนวทางแบบนี้มักจะเป็นคนที่มองว่า เราควรส่งเสริมให้คนมีความเป็น “ปัจเจกชน” อย่าไปสร้างกฎหมายหรือกฎเกณฑ์อะไรก็ตามที่จะไปลดความคิดสร้างสรรค์และแรงจูงใจในการทำงานของคน นอกจากนั้น พวกเขามักจะเคารพในสิทธิต่าง ๆ ของคนแม้ไม่ใช่เรื่องของกฎหมายอย่างเช่นเรื่องของเพศสภาพ การให้ผู้หญิงมีสิทธิที่จะทำแท้ง การนับถือหรือไม่นับถือศาสนา หรือเรื่องต่าง ๆ ที่ “ไม่ได้เดือดร้อนใคร” เป็นต้น ในอีกด้านหนึ่ง พวกเขาก็อยากส่งเสริมให้คนทุกคนมีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเพื่อให้ “เท่าเทียม” กับคนอื่น ๆ พวกเขาคิดว่าคนเกิดมาก็เท่ากัน แต่ที่แย่กว่าคนอื่นเป็นเพราะระบบเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย ดังนั้น คนในสังคมที่รวยกว่าก็ควรที่จะต้องเสียสละเพื่อให้สังคมส่วนรวมดีขึ้น และนี่ก็อาจจะเรียกว่าเป็นแนวคิดแบบ “เสรีนิยม”
ตรงกันข้ามกับเสรีนิยมก็คือแนวคิดแบบ “อนุรักษ์นิยม” ที่มีความคิดว่า “คนไม่เท่ากัน” คนบางคนหรือบางกลุ่มนั้นเหนือกว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเกิดหรือการพัฒนาตนเอง การให้สิทธิที่เท่าเทียมกันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง พวกเขาคิดว่าสังคมที่ดีนั้น จะต้องมีคนที่ดีกว่าเป็นผู้นำ การมีกฎหมายหรือประเพณีและวัฒนธรรมที่ “ดี” และทุกคนยึดมั่นในคำสอนของศาสนาหลักของประเทศ จะทำให้สังคมก้าวหน้าและ “สงบสุข” ดังนั้น พวกเขาก็มักจะส่งเสริมอะไรก็ตามที่เป็นความคิดของสังคมยุคเก่า
เรื่องที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็น VI ก็คือ คนที่เป็นนักลงทุนระดับเซียนโดยเฉพาะที่เป็นแนว VI พันธุ์แท้ระดับโลกอย่างวอเร็น บัฟเฟตต์ นั้น พวกเขามีความคิดทางการเมืองแบบไหน?
ชัดเจนว่าวอเร็น บัฟเฟตต์นั้นอยู่ข้าง “เสรีนิยม” คือเป็นเดโมแครท ทั้ง ๆ ที่พ่อของเขาซึ่งเป็น นักการเมืองเต็มตัวและเป็นสภาชิกสภาคองเกรสหลายสมัยนั้นเป็น “อนุรักษ์นิยม” สุด ๆ และเป็นสมาชิกพรรครีพับลิกัน ว่าที่จริงในช่วงที่โอบามาเป็นประธานาธิบดีนั้นก็มีข่าวว่าเขาอยากให้วอเร็น บัฟเฟตต์ เป็นรัฐมนตรีคลังแต่บัฟเฟตต์ปฎิเสธ บัฟเฟตต์เองนั้นก็มักเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองอยู่เสมอ เขามักช่วยหาเสียงแนว “ประกาศสนับสนุน” ผู้สมัครที่เขาชื่นชอบ แต่คงไม่ได้บริจาคเงินมากมาย เขายังเคยเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ในหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ที่ทรงอิทธิพลทางการเมืองที่สุดฉบับหนึ่งและเป็นหนังสือพิมพ์แนวเสรีนิยม ตัวบัฟเฟตต์เองเห็นว่าสังคมอเมริกันนั้น คนรวยยังได้เปรียบคนจนมากและยังจ่ายภาษีน้อยเกินไป เขาบอกว่าเลขาของเขาจ่ายภาษีคิดเป็นเปอร์เซ็นต์สูงกว่าตัวเขาดังนั้นเขาเรียกร้องให้เก็บภาษีคนรวยมากขึ้น
จอร์จ โซรอส เองนั้น แม้จะไม่ได้เป็น VI แต่หลักความคิดและการลงทุนของเขาเองผมคิดว่าไม่ได้ต่างกัน เขาเป็นคนที่สนใจและเกี่ยวข้องกับการเมืองสูงมากโดยเฉพาะในประเทศฮังการีซึ่งเป็นประเทศบ้านเกิดของเขา และยุโรปตะวันออกที่ยังไม่เป็นประชาธิปไตยโดยเฉพาะในอดีต โซรอสเองนั้นถึงกับตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุนคนที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและสร้าง “สังคมเปิด” ในประเทศต่าง ๆ ด้วยเงินจำนวนมาก
สำหรับ VI ไทยเองนั้น ผมคงไม่สามารถพูดอะไรได้มากนัก เหตุผลสำคัญส่วนหนึ่งนั้นเป็นเพราะว่าสังคมการเมืองของไทยเองนั้น ยังไม่ได้พัฒนาเพียงพอที่คนจะประกาศตนสนับสนุนแนวความคิดบางอย่างได้โดยเฉพาะที่เขายังต้อง “อยู่กับระบบ” เพราะเขาทำธุรกิจหรือทำงานในหน่วยงานหรือบริษัท เพราะในบางครั้งอาจจะทำให้คนทำ “มีปัญหา” ได้ ไม่ต้องพูดถึงว่าจะเข้าไปทำงานการเมือง นอกจากนั้น ในสังคมไทยเอง คนจำนวนมากหรือส่วนใหญ่ก็มักจะยังไม่ค่อยยอมรับความแตกต่างทางการเมือง การแสดงจุดยืนที่ชัดเจนก็อาจจะทำให้ “เสียเพื่อน” ได้
ในส่วนตัวผมเองนั้น ผมคิดว่าแนวความคิดทางการเมืองของผมมีพัฒนาการมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่เด็กที่มีความเป็นอนุรักษ์นิยม และเริ่มเป็นเสรีนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่เริ่มเป็น VI เมื่อกว่า 20 ปีก่อน ส่วนสำคัญน่าจะมาจากการศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และการเมืองเนื่องจากมีเวลามากขึ้นหลังจากเกษียณจากงานประจำในองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ที่มักจะประกอบไปด้วยคนที่มีแนวโน้มการเป็นอนุรักษ์นิยมตามธรรมชาติในสังคมไทย
ที่มาบทความ: http://www.thaivi.org/vi-กับการเมือง/