ปรากฏการณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งในแวดวงของ Social Media ในประเทศไทยในระยะหลังนี้ก็คือสิ่งที่เรียกกันว่า “ทัวร์ลง” ซึ่งก็คือการที่ผู้เล่นหรือผู้ใช้สื่อดิจิตอลสมัยใหม่โดยเฉพาะในทวิตเตอร์จำนวนมากเข้ามาโพสต์และ/หรือมาดู รูป วิดีโอ และเขียนความคิดเห็น ในประเด็นต่าง ๆ ที่เป็นที่สนใจในสังคมขณะนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นประเด็นที่คนที่อยู่ในกลุ่มรู้สึกไม่พอใจและอยากที่จะให้เกิดการเปลี่ยนแปลง จำนวนของคนที่เข้าไปดู คุยกันหรือคอมเม้นต์นั้นจะต้องมีจำนวนมาก และมักจะติดอันดับสูงที่สุด 10 อันดับ ในขณะนั้น ส่วนประเด็นที่เกิดขึ้นก็มักจะเป็นเรื่องทางการเมืองและสังคมที่เป็นเรื่อง Controversy คือมีความเห็นที่แตกต่างกันสูงในสังคมของไทย ซึ่งในอดีตนั้น ความขัดแย้งหรือความไม่พอใจก็มักจะถูกปิดไว้หรือไม่สามารถที่จะกระจายเป็นวงกว้างสู่คนจำนวนมากเนื่องจากข้อจำกัดของ “สื่อรุ่นเก่า” ที่มักถูกควบคุมโดยรัฐ เช่น ทีวีหรือวิทยุ หรือถูกควบคุมโดยกิจการขนาดใหญ่เช่นหนังสือหรือสิ่งพิมพ์ที่มีจำนวนน้อยและต้นทุนในการทำงานสูงและเป็น “สื่อทางเดียว” ที่มีประสิทธิภาพต่ำ
เรื่องที่ทำให้ “ทัวร์ลง” นั้น ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นเรื่องของ “การเมือง” ในความหมายที่กว้าง นั่นก็คือ รวมไปถึงเรื่องทางสังคมที่เป็นอานิสงส์จากการเมือง เช่น เรื่องของสิทธิมนุษยชน ความเท่าเทียมของคน การจัดสรรทรัพยากรของประเทศ เสรีภาพในการใช้ชีวิต เป็นต้น ส่วนในเรื่องของการเมืองตรง ๆ ก็เช่น เรื่องที่เกี่ยวข้องกับระบบการปกครอง ความยุติธรรม นโยบายและการปฏิบัติของรัฐบาล เป็นต้น ผลจากการที่มี “ทัวร์ลง” นั้น ถ้ามองอย่างผิวเผินก็คือ มีคนมีความคิดเห็นตรงกันหรือสอดคล้องกันและแสดงออกมาทางสื่อ เป็นเรื่องใน “โลกเสมือน” ไม่น่าจะมีอะไรที่จะไปเปลี่ยนแปลง “โลกจริง” ได้ แต่ในความเป็นจริง โลกจริงกลับเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงและมักจะเป็นไปในแบบที่คนในสื่อสังคมหรือโลกเสมือนนั้นต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีคนเข้ามาเห็นด้วยมาก ๆ ซึ่งบางทีเป็นล้านคน
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนก็เช่น ในยามที่คนไทยกำลังยากลำบากและต้องใช้เงินจำนวนมากต่อสู้กับผลกระทบจากโควิด-19 และคนจำนวนมากคิดว่าประเทศไทยไม่ควรซื้อเรือดำน้ำซึ่งต้องใช้เงินมากและยังไม่จำเป็นที่จะต้องมี พวกเขาจึงแสดงออกในทวิตเตอร์และสื่อสังคมอื่น ๆ ในที่สุด รัฐบาลก็ต้องเลื่อนการซื้อเรือดำน้ำออกไป นี่ไม่ได้เป็นเพราะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นฝ่ายค้านคว่ำมติ แต่เป็นเพราะ “กระแสมหาชน” ที่ไม่เห็นด้วยคัดค้าน และรัฐบาลต้องทำตาม เพราะถ้าฝืน ก็อาจจะมีการประท้วงตามมาหรือเมื่อถึงการเลือกตั้งสมัยหน้าก็จะเสียคะแนนนิยม ไม่ได้รับการเลือกตั้งมากเท่าที่ควร
สัปดาห์ที่แล้ว ในสื่อสังคมก็ปรากฏเรื่องราวของเด็กนักเรียนอนุบาลของโรงเรียนเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งถูกครูทำร้ายและผู้ปกครองจับได้ผ่านกล้องวงจรปิด และก็เช่นเดียวกับอีกหลาย ๆ เรื่องที่ถูกส่งเข้าสู่ระบบสื่อสังคมซึ่งในที่สุดก็กระจายออกไปเป็นวงกว้างในชั่วไม่กี่นาที หลังจากนั้น ผู้ปกครองของเด็กคนอื่นที่อยู่ในห้องเดียวกันก็รับทราบและเข้าไปขอตรวจสอบว่าลูกของตนถูกทำร้ายด้วยหรือไม่และก็ค้นพบว่ามีเหตุแบบเดียวกันนั้นกับเด็กอีกหลายคน หลังจากนั้นก็มีอดีตนักเรียน ผู้ปกครองและอดีตครูที่ทราบเรื่องจากสื่อสังคมและเริ่มส่งข่าวสารผ่านระบบออนไลน์ว่าพวกเขาก็เคยประสบกับเหตุการณ์แบบนั้น ถึงจุดนี้สังคมก็เริ่มเชื่อแล้วว่าเป็นปัญหาของครูและการควบคุมของโรงเรียนที่ไม่ได้มาตรฐาน สื่อทุกสื่อต่างก็ “เกาะกระแส” ทำรายการสัมภาษณ์และเชิญผู้เกี่ยวข้องโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐที่เป็นผู้กำกับและควบคุมโรงเรียนตามกฎหมายมาให้ความเห็น ข้อสรุปแม้ว่าจะยังไม่ได้ออกมาว่าโรงเรียนจะถูกลงโทษอย่างไร แต่ประชาชนรวมถึงผู้ปกครองน่าจะสรุปไปแล้วว่าโรงเรียนไม่ได้ดีอย่างที่คิด หลายคนอาจจะกำลังตัดสินใจว่าจะเอาลูกออกจากโรงเรียน คนที่กำลังคิดจะสมัครเรียนคงไม่มาแน่นอน โรงเรียนที่เก่าแก่ มีชื่อเสียงดี และมีสาขามากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศน่าจะกำลังอยู่ในภาวะเสี่ยงที่จะ “ล่มสลาย” ในชั่วข้ามคืน นี่คือผลของ “ทัวร์ลง”
ก่อนหน้านี้เล็กน้อยก็เกิดปรากฎการณ์การ “แบน” หรือการประณามและเรียกร้องให้สังคมเลิกทำกิจกรรมเกี่ยวข้องกับองค์กร บริษัท หรือบุคคลที่มีชื่อเสียง ที่คนใน “สังคมเสมือน” เห็นว่ามีความลำเอียง มีพฤติกรรมที่เหยียดคนที่ด้อยกว่า ไม่เคารพสิทธิมนุษยชน หรือไม่ส่งเสริมหลักการที่เป็นที่ยอมรับของสังคมโลกที่พัฒนาแล้ว “ทัวร์” ที่ลงนั้น คนที่ถูกแบนคงไม่คิดว่าจะมีผลอะไร เพราะสิ่งที่เขาเขียน ออกความเห็นและแสดงออกนั้น เป็นเรื่องที่ทำมานานแล้วโดยที่ไม่ได้มีปัญหาอะไร ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าคนที่ไม่เห็นด้วยในขณะนั้นอาจจะมีจำนวนน้อยหรืออาจจะเป็นเพราะว่าไม่เห็นด้วยแต่ไม่ได้แสดงออกหรือแสดงออกไม่ได้เพราะไม่มีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ การ “เกิดใหม่” ของทวิตเตอร์อาจจะทำให้เกมเปลี่ยนแปลงไป มันกลายเป็นเครื่องมือ “ระดมพล” ที่ทรงประสิทธิผลและก่อให้เกิดกระแสสังคมที่มีพลังมหาศาล คนที่ถูก “แบน” นั้น ในที่สุดก็พบว่าชีวิตแทบจะถูก “ทำลาย” เพราะคนที่เคยมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องด้วย โดยเฉพาะที่เป็น “ลูกค้า” ที่เคยซื้อ-ขายบริการต่างก็หนีหายไปหมดเพราะกลัวว่าตนเองอาจจะถูก “แบน” ไปด้วย
ปรากฏการณ์ “ทัวร์ลง” ในแง่ของสังคมนั้นทำให้คนที่ “ตัวเล็ก” ซึ่งรวมถึงประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้มีเงินทองหรือมีอำนาจในสังคม สามารถที่จะ “ต่อสู้” หรือป้องกันตัวจากการข่มเหงของคนที่ “ตัวโต” กว่าซึ่งรวมถึงคนที่มีเงินหรือมีอำนาจทั้งในและนอกระบบ ตัวอย่างที่เกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ก็คือการที่คนมีเงินมากระดับมหาเศรษฐีที่ทำผิดแต่สามารถหลีกเลี่ยงไม่ต้องรับโทษได้เป็นเวลานานจน “หมดอายุความ” แต่แล้ว เมื่อประเทศไทยเข้าสู่ยุค “สื่อสังคมสมบูรณ์แบบ” ในช่วงโควิด-19 “ทัวร์” ก็เริ่มลง และเมื่อมันลงแล้ว คนตัวโตก็อาจจะหนีไม่พ้น และต่อจากนี้ผมคิดว่า สังคมไทยอาจจะมีความ “เท่าเทียม” กันมากขึ้น
ความเหลื่อมล้ำที่เป็นเรื่องของเศรษฐกิจในประเทศไทยนั้นค่อนข้างสูง “ติดอันดับโลก” มานานมาก เช่นเดียวกับความเหลื่อมล้ำทางด้านสังคมที่ผมคิดว่าเมืองไทยก็น่าจะติดอันดับโลกเหมือนกันเพียงแต่ว่าไม่มีหน่วยงานไหนระดับโลกที่จะมีดัชนีชี้วัดค่านี้ เหตุผลอาจจะเป็นเพราะว่ามันเป็นเรื่องที่กว้างมาก คนรวยทำผิดไม่ติดคุก แต่คนจนแค่เก็บเห็ดเพราะไม่รู้ว่าผิดกลับถูกลงโทษรุนแรง นี่เป็นความเหลื่อมล้ำทางสังคม แต่ครูลงโทษนักเรียนด้วยการทำร้ายร่างกายหรือจิตใจ ผู้ใหญ่ตีเด็ก สามีทำร้ายภรรยาหรือมีการคบหาหญิงอื่น เรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ถือเป็นความเหลื่อมล้ำทางสังคมหรือเป็นเรื่องทางวัฒนธรรม? ในอดีตเราไม่ค่อยมีปัญหา เพราะความคิดแบบดั้งเดิมสอนให้ทุกคนยอมรับ แต่สำหรับ “คนรุ่นใหม่” ซึ่งรวมถึงเด็กหรือคนที่เพิ่งจะเข้าสู่การเป็นผู้ใหญ่และคนสูงอายุที่มี “ความคิดใหม่” นั่นเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ คนที่จะเท่าเทียมกันนั้นต้องแปลว่าทั้งสองฝ่ายหรือทุกฝ่ายต่างก็มีสิทธิที่จะได้รับการปฏิบัติเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นคนอายุน้อยหรือสูงอายุ คนที่มีตำแหน่งในสังคมสูงหรือต่ำ คนที่มีเงินมากหรือน้อย และคนที่มีรสนิยมทางเพศหรือความคิดทางการเมืองแบบอื่น ต่างก็ต้องได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมกันตามกฎหมาย ความเคารพนับถือนั้นต้องไม่ใช่การบังคับ แต่ต้องมาจากจิตใจของคนหนึ่งต่ออีกคนหนึ่ง สิ่งนี้กำลังเกิดขึ้นด้วยพลังของสื่อสังคมรุ่นใหม่
สุดท้ายก็คือเรื่องของการเมืองจริง ๆ ที่ตอนนี้เกิดการ “ต่อสู้” กันระหว่าง “คนรุ่นใหม่” กับ “คนรุ่นเก่า” โดยเฉพาะใน “โลกเสมือน” อย่างรุนแรง ซึ่งแน่นอนว่าในที่สุดก็จะลงมาสู่ “โลกจริง” ว่าที่จริงการต่อสู้ในโลกจริงก็เริ่มขึ้นแล้วหลายครั้งนั่นก็คือ “ม็อบ” ของคนหลายกลุ่มที่เริ่มขยายตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ผมเองไม่แน่ใจว่าคนที่เกี่ยวข้องซึ่งรวมถึงฝ่ายรัฐที่ถืออำนาจอยู่จะตระหนักไหมว่า โลกกำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว หลายคนนั้นเวลาพูดถึงพลังของฝ่ายที่อยากจะเปลี่ยนแปลงก็จะพูดถึง “จำนวนคนที่ไปม็อบ” นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องในโลก “ยุคเก่า” แต่ในโลกยุคใหม่นั้น จำนวนคนที่เข้าไปดูหรือคอมเม้นต์ในทวิตเตอร์อาจจะเป็น “ตัวชี้วัด” ที่ถูกต้องกว่า และถ้ามองแบบนี้ ผมก็คิดว่า เรากำลังมีปัญหาทางการเมืองค่อนข้างรุนแรง และในมุมมองของนักลงทุนในตลาดหุ้น ประเทศไทยอาจจะมีความเสี่ยงทางการเมืองที่สูง ซึ่งจะกระทบต่อตลาดหุ้นในอนาคต ดังนั้น การลงทุนก็ต้องนำเรื่องนี้มาวิเคราะห์ประกอบด้วย
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ที่มาบทความ: https://portal.settrade.com/blog/nivate/2020/10/05/2396