ในช่วงการแข่งขันบอลโลกที่รัสเซียนั้น สถานที่แห่งหนึ่งที่ใช้เป็นสนามแข่งขันก็คือ Volgograd Arena ในเมือง Volgograd เมืองทางใต้ของรัสเซียซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ Volga เมืองนี้เป็นเมืองสำคัญและมีประวัติที่เก่าแก่ยาวนานกว่าสี่ร้อยปีและมีการเปลี่ยนชื่อมาหลายครั้ง แต่สำหรับคนที่สนใจประวัติศาสตร์สงครามอย่างผมนั้น ช่วงที่น่าสนใจที่สุดก็คือช่วงที่เมืองนี้มีชื่อว่า “Stalingrad” ตามชื่อของโจเซฟ สตาลิน ผู้นำเผด็จการยุคที่รัสเซียยังเป็นสหภาพโซเวียตที่เป็นคอมมิวนิสต์และกำลังต่อสู้กับเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่สอง
เหตุผลก็เพราะว่าการรบเพื่อชิงเมืองสตาลินกราด หรือ “ศึกสตาลินกราด” นั้น ถือว่าเป็นการรบที่ดุเดือดและยิ่งใหญ่ที่สุดของสงครามโลกครั้งที่สองและน่าจะของโลกด้วย เพราะการรบในครั้งนั้นน่าจะมีการสูญเสียทหารและพลเรือนทั้งสองฝ่ายถึงประมาณ 2 ล้านคนและถือเป็น “จุดเปลี่ยน” ของสงครามที่เยอรมันซึ่งเป็นฝ่ายได้ชัยชนะอย่างรวดเร็วมาตลอด กลายเป็น “ผู้แพ้” กลยุทธ์การรบแบบ “สายฟ้าแลบ” ที่สร้างความสำเร็จใหญ่หลวงให้กับเยอรมันนั้นเปลี่ยนเป็นความล้มเหลวเมื่อถูกตลบกลับด้วย “สงครามยืดเยื้อ” ที่ถูกวางแผนไว้เป็นอย่างดี
การบุกเข้ายึดรัสเซียหรือการรุกทางด้านตะวันออกของเยอรมันหลังจากที่สามารถยึดฝรั่งเศสและประเทศส่วนใหญ่ทางด้านตะวันตกไว้ได้แล้วนั้น เยอรมันหวังที่จะยึดครองแหล่งทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ซึ่งรวมถึงอาหาร น้ำมัน และเหล็กของรัสเซีย ฮิตเลอร์เชื่อว่าถ้าครองรัสเซียได้เยอรมันก็จะมีพร้อมทุกอย่างที่จะเป็น “จ้าวโลก” เขากำลังมีความฮึกเหิมถึงขีดสุดและเชื่อมั่นในแสนยานุภาพของเยอรมันในขณะที่ “ดูแคลน” คนรัสเซียและรังเกียจคอมมิวนิสต์อย่างสุดโต่ง เขาคิดว่าเขาสามารถเอาชนะรัสเซียได้โดยง่าย
กองทัพเยอรมันที่บุกรัสเซียนั้นแบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือทัพทางเหนือที่บุกเข้าตีเมือง “เลนินกราด” หรือเซ้นต์ปีเตอร์สเบิร์กในปัจจุบัน ทางตอนกลางคือทัพที่เข้าตีมอสโก และทางตอนใต้ก็คือสตาลินกราดซึ่งเป็นทางผ่านไปสู่แหล่งของข้าวสาลี น้ำมัน และเหล็กของรัสเซีย การบุกเข้าสู่ประเทศที่ใหญ่มาก แต่ละจุดห่างกันเป็นพัน ๆ กิโลเมตรทำให้กำลังพลและยุทโธปกรณ์ของเยอรมันต้องกระจายออกไปมาก เส้นทางส่งกำลังบำรุงเต็มไปด้วยอุปสรรคโดยเฉพาะในฤดูหนาว แต่ฮิตเลอร์คิดว่าเขาคงยึดรัสเซียได้โดยเร็ว
กองทัพเยอรมันบุกเข้าประชิดชานเมืองสตาลินกราดทางด้านตะวันตกได้โดยง่าย ด้านตะวันออกของเมืองคือแม่น้ำโวลกาที่กว้างใหญ่ที่ขัดขวางการถอยหรือหนีของทหารและพลเมืองของสตาลินกราด แต่ก็กลายเป็นแหล่งที่รัสเซียสามารถส่งกองหนุน อาวุธยุทโธปกรณ์และเสบียงข้ามแม่น้ำเข้าสู่เมืองเพื่อที่จะต้านทานและประวิงเวลากองทัพเยอรมันที่กำลังบุกเข้ายึดเมืองได้ ณ เวลานั้น คำสั่งของฮิตเลอร์ก็คือต้องยึดเมืองให้ได้โดยเร็ว ฮิตเลอร์คลั่งไคล้ที่จะยึด “เมืองมงกุฎ” ของฝ่ายศัตรูโดยมีปารีสเป็นตัวอย่าง ส่วนสตาลินเองนั้น เขารับไม่ได้กับการเสียเมืองที่เป็น “ชื่อของตัวเอง” ให้กับข้าศึก ดังนั้น เขาสั่งให้ทุกคน “สู้ตาย” ทหารที่ถอยหรือหนีข้ามแม่น้ำโวลกาจะถูกประหาร สงครามแห่งศักดิ์ศรีกำลังระเบิดขึ้น
เยอรมันเริ่มด้วยการส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดซึ่งทำลายอาคารและเมือง “ราบเป็นหน้ากลอง” แต่นั่นอาจจะเป็นการช่วยให้รัสเซียสามารถต้านทานกองทัพเยอรมันได้นานขึ้น เพราะรัสเซียกระจายกำลังและยึดอาคารที่ถูกทำลายเหล่านั้นทำสงครามจรยุทธ์ กองทัพรถถังอันทรงพลังและการรุกรบอย่างรวดเร็วทำไม่ได้ในเมืองที่มีแต่ซากอาคารเต็มไปหมด ทหารเยอรมันต้องแบ่งเป็นกลุ่มย่อย ๆ เข้าไปเคลียร์ตึกทีละตึกในขณะที่ทหารรัสเซียยึดตึกเหล่านั้นเป็นที่กำบังและยิงข้าศึกด้วยปืนประจำตัวในระยะประชิดรวมทั้งสามารถวางกับระเบิดตลอดทางเพราะได้เปรียบที่รู้จักภูมิประเทศและสถานที่ดีกว่า ทำให้ความได้เปรียบของเยอรมันหมดไป รถถังและเครื่องบินไม่มีประโยชน์ การรบยืดเยื้อยาวนานกว่าที่คิดไว้มาก
อย่างไรก็ตาม ความเชี่ยวชาญและความพร้อมในการรบของเยอรมันก็ยังเหนือกว่ามากไม่ต้องพูดถึงจำนวนทหารที่เยอรมันมีกว่า 2 แสนคนในขณะที่ฝ่ายรัสเซียมีแค่ 5 หมื่นและอาวุธยุทโธปกรณ์รวมถึงความสามารถในการรบก็เป็นรองอยู่มาก ไพร่พลจำนวนมากก็เป็นเด็กเพิ่งเรียนจบและเป็นผู้หญิง ในที่สุดฝ่ายรัสเซียก็ต้องถอยร่นไปติดอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ กองทัพเยอรมันกำลังจะเข้าบดขยี้และยึดเมืองสตาลินกราดไว้ในกำมือ แต่แล้วทุกอย่างก็พลิกผัน
เบื้องหลังฉากของ “สงครามหนู”
ภายในเมืองสตาลินกราดนั้น แม้แต่ผู้บัญชาการกองทัพของรัสเซียในเมืองก็ไม่รู้ว่าสตาลินกับชูคอฟแม่ทัพใหญ่ของรัสเซียได้วาง “แผนลวง” ที่จะต่อสู้กับเยอรมันไว้ก่อนแล้ว แผนนั้นก็คือ รัสเซียจะใช้กำลังทหารจำนวนน้อยที่สุดที่จะหน่วงเวลารักษาเมืองไว้จนฤดูหนาวมาถึง ในระหว่างนั้นรัสเซียก็ระดมกำลังนับล้านคนเข้า “ตีโอบ” จากทางปีกเหนือและใต้ซึ่งกองทัพฝ่ายเยอรมันที่ป้องกันอยู่นั้นเป็นกองกำลังของพันธมิตรซึ่งประกอบไปด้วยทหารโรมาเนีย ฮังการีและอิตาลี ซึ่งอ่อนด้อยกว่าทหารเยอรมันมาก เช่นเดียวกัน รถถังของเยอรมันที่เคยทรงพลังนั้นก็ “สตาร์ทไม่ติด” เพราะความหนาวและขาดแคลนน้ำมัน
ผลก็คือ ทหารสองกองทัพจากทางเหนือและใต้ของฝ่ายรัสเซียสามารถเคลื่อนทัพเข้ามาบรรจบกันเป็น “คีมเหล็ก” ปิดล้อมกองทัพของเยอรมันในเมืองสตาลินกราดเอาไว้ได้อย่างสิ้นเชิง ขณะนี้คนที่ล้อมกลายเป็นฝ่ายที่ถูกล้อม แม่ทัพเยอรมันร้องขอถอนกำลังโดยการตีฝ่าออกทางเหนือแต่ฮิตเลอร์ปฎิเสธ คนอย่างฮิตเลอร์นั้นคงมีศักดิ์ศรีมากเกินกว่าที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ เขาสั่งให้สู้ต่อและบอกว่าจะใช้กำลังทางอากาศส่งเสบียงและอาวุธยุทโธปกรณ์ให้ ซึ่งนั่นน่าจะเป็นการหลอกตัวเองอย่างใหญ่หลวง เพราะด้วยจำนวนของทหารระดับ 2-3 แสนนายและอยู่ไกลขนาดนั้น มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ในที่สุดแม่ทัพเยอรมันก็ต้องประกาศยอมแพ้เองหลังจากที่เสียทหารไปมหาศาล กองทัพทั้งกองทัพ “ละลาย” อย่างสิ้นเชิง พลังการรบของเยอรมันเสียหายขนาดแทบจะหมดสภาพ ศึกต่อไปของรัสเซียก็คือ “เบอร์ลิน”
บทเรียนจากสตาลินกราดของผมก็คือ การรบนั้นคือการต่อสู้ที่รุนแรงที่ไม่เคยปราณีใคร กลยุทธ์ที่แต่ละคนหรือแต่ละฝ่ายใช้นั้น เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ชนะหรือแพ้ ความคิดและอารมณ์มีส่วนสำคัญต่อกลยุทธ์และการต่อสู้ ความมั่นใจเกินไปโดยที่ไม่ได้ไตร่ตรองให้รอบคอบและคำนึงถึงความเสี่ยงน้อยเกินไปมักจะทำให้เกิดความผิดพลาดได้และความผิดพลาดนั้นสามารถก่อให้เกิดหายนะที่รุนแรง สงครามแบบฉบับของฮิตเลอร์ที่ใช้การรุกรบที่รวดเร็วและรุนแรงอาศัยอุปกรณ์และเครื่องมือที่ทรงพลังอย่างรถถังและเครื่องบินนั้น ในช่วงแรกก่อให้เกิดความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงเอาชนะฝ่ายตรงข้ามอย่างง่ายดายซึ่งก่อให้เกิดความมั่นใจถึงความสามารถของตนเองจนเกินความเป็นจริงและทำให้เขารุกต่อไปเรื่อย ๆ และลืมพลังของฝ่ายตรงข้ามรวมถึงอุปสรรคและความเสี่ยงที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ
นี่เปรียบไปแล้วก็คล้าย ๆ กับนักลงทุนที่เน้นการเล่นหุ้นในแบบ “สายฟ้าแลบ” เข้าระดมซื้อหุ้นแบบกวาดซื้อพร้อม ๆ กับการใช้ “เครื่องมือ” ที่ทรงพลังซึ่งรวมถึงบล็อกเทรด มาร์จิน ดีลิเวอร์ทีฟวอแรนต์ และอื่น ๆ รวมถึงการ “ถล่ม” ด้วย “สตอรี่” หรือเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นที่รุนแรงเพื่อให้คนซื้อตาม สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้หุ้นปรับตัวขึ้นอย่างมโหฬารทำกำไรอย่างมหาศาลในเวลาอันสั้น เขาเข้า “Corner” หุ้นอย่างสิ้นเชิง คล้าย ๆ การปิดล้อมสตาลินกราดในวันสุดท้าย
แต่แล้วก็เขาก็อาจจะ “ช็อค” ที่อยู่ ๆ สิ่งที่เขาทำแล้วประสบความสำเร็จมาตลอดนั้นกลับหวนกลับมาทำร้ายเขาเองอย่างคาดไม่ถึง หุ้นที่ถูกคอร์เนอร์ไว้ “แตก” หุ้นถูกฟอร์ซเซลหรือถูกขายโดยไม่คำนึงถึงราคาและมันมาจาก “ทุกทิศ” สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นโดยที่เขาไม่เคยคิดและไม่เคยวิตกเพราะเขาเคยทำและประสบความสำเร็จ ไม่มีอะไรที่นอกเหนือไปจากการควบคุมของเขาได้ เขามีความมั่นใจในตัวเองและในศักยภาพของหุ้น แต่นั่นก็อาจจะเกินไปและไม่จริง อาจจะคล้าย ๆ กับฮิตเลอร์ที่ยอมตายไม่ยอมถอยและคิดว่าเยอรมันนั้นเป็นชนชาติที่เหนือกว่าคนอื่นและเขาเองเป็นสุดยอด เป็นผู้นำ เป็นเซียน!
ผมเองไม่แน่ใจว่าการปรับตัวครั้งใหญ่ของหุ้นเล็กและกลางของตลาดหุ้นไทยในครั้งนี้กระทบกับนักลงทุนที่เข้าไปเล่นหุ้นเหล่านั้นมากน้อยแค่ไหนในภาพรวมของเขา แต่ดูแล้วก็คงเจ็บปวดไม่น้อย ได้แต่หวังว่ามันจะไม่รุนแรงขนาดเท่ากับศึกสตาลินกราด และไม่ว่ากรณีไหน ก็น่าจะเป็น “บทเรียน” สำหรับทุกคนที่อยู่ในตลาดหุ้นหรือแม้แต่ในธุรกิจว่า อย่ามั่นใจตนเองมากเกินไป ทำอะไรก็ตาม คิดถึงความเสี่ยงเสมอ อย่าคิดแต่ว่าเราจะ “กินเงินคนอื่น” ได้ฝ่ายเดียว เราอาจจะเป็นฝ่ายที่ “ถูกกิน” ก็ได้ โดยเฉพาะถ้าเราเล่นเกมหรือรบแบบ “สายฟ้าแลบ”
ที่มาบทความ: thaivi.org