ในฐานะที่เป็นนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทยและเวียตนาม ผมเองได้ติดตามดูผลงานของตลาดทั้งสองแห่ง ทั้งทางด้านเศรษฐกิจของประเทศ ดัชนีตลาดหุ้น และตัวหุ้นที่จดทะเบียนในตลาด และก็แน่นอนว่า ก็เปรียบเทียบผลงานพอร์ตหุ้นทั้งสองของผมว่าพอร์ตไหนมีผลตอบแทนดีกว่ากันและมองด้วยว่าอนาคตพอร์ตไหนน่าจะมีโอกาสเติบโตมากกว่าด้วย ในการเปรียบเทียบนั้น ผมจะดูดัชนีหุ้นของทั้งสองแห่งเป็นหลัก
ตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินของเวียตนามเพิ่งจะเปิดเมื่อปี 2000 ปี และเนื่องจากเป็นตลาดเปิดใหม่ การ “เก็งกำไร” จึงน่าจะรุนแรงมาก ดัชนีตลาดวิ่งจาก 100 จุด ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดที่ประมาณ 1,140 จุดหรือ 11 เท่าภายใน 7 ปีและนั่นเกิดขึ้นตอนต้นปี 2007 ซึ่งก็ถือเป็น “ฟองสบู่ลูกแรก” ของเวียตนาม ในช่วงเวลาเดียวกัน ดัชนีตลาดหุ้นของไทยเอง ก็ปรับตัวขึ้นสูงสุด จากประมาณ 200 จุด ซึ่งเป็นดัชนีต่ำสุดหลังวิกฤติปี 2540 หรือปี 1997 กลายเป็นประมาณ 910 จุดในช่วงปลายปี 2007 เหมือนกัน
จากปี 2007 ซึ่งเป็นปีที่ดัชนีตลาดหุ้นทั้งไทยและเวียตนามปรับตัวขึ้นเป็นจุดสูงสุดหลังวิกฤติปี 1997 ดัชนีตลาดหุ้นทั้งสองแห่งก็ประสบกับวิกฤติปี 2008 หรือวิกฤติซับไพร์มที่เกิดขึ้นในอีกประมาณ 10 ปีต่อมาหลังวิกฤติ “ต้มยำกุ้ง” ดัชนีของตลาดหุ้นไทยตกลงมาต่ำสุดที่ประมาณ 400 จุดในปลายปี 2008 และตลาดหุ้นเวียตนามก็ตกลงมาเหลือเพียงประมาณ 250 จุดในต้นปี 2009 เช่นเดียวกัน การตกลงมาของตลาดหุ้นไทยนั้นคิดแล้วประมาณ 50% จากช่วงก่อนเกิดวิกฤติ แต่ถ้าคิดจากจุดสูงสุดก็ประมาณ 56% แต่ในกรณีของเวียตนามนั้น เนื่องจากตกลงมาจากจุดสูงสุดที่เป็น “ฟองสบู่” ดัชนีตลาดจึงตกลงมาแรงถึงประมาณเกือบ 80% อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของตลาดทั้งสองแห่งก็รวดเร็วมาก เหตุผลอาจจะเป็นเพราะว่าวิกฤติครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะเป็น “วิกฤติเทียม” ที่เกิดจากวิกฤติของอเมริกาและส่งผลต่อเศรษฐกิจของไทยและเวียตนามไม่มาก ดังนั้น ดัชนีของทั้งสองตลาดก็ปรับตัวขึ้นแบบ “V-Shape” คือขึ้นมาอย่างรวดเร็วภายในเวลาแค่ไม่กี่เดือน
ดัชนีตลาดหุ้นไทยวิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่องนับจากปี 2009 จนถึงต้นปี 2018 เป็นเวลาเกือบ 10 ปี ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยปรับตัวขึ้นถึงจุดสูงสุดใหม่ หรือ All Time High ที่ประมาณ 1,840 จุด ในเวลาใกล้เคียงกัน คือห่างกันแค่ 1-2 เดือน ดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามก็ทำ High ใหม่ที่ประมาณ 1,180 จุด ถ้าคิดเป็นผลตอบแทนแล้ว ดัชนีหุ้นไทยให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นประมาณ 3.6 เท่าในเวลาประมาณ 9 ปี หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นประมาณ 17.9% ต่อปี ในขณะที่ตลาดเวียตนามให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นประมาณ 3.8 เท่า หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นประมาณปีละ 18.8% ดังนั้น จึงพอสรุปได้ว่า ผลตอบแทนระยะยาวในช่วงหลังซับไพร์มของทั้งสองตลาดนั้นดีพอ ๆ กันและดีเลิศ- ในประวัติศาสตร์
และเมื่อ “ครบรอบ 10 ปี” ของวิกฤติครั้งก่อน วิกฤติครั้งใหม่ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง นั่นก็คือวิกฤติโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในช่วงต้นปี 2020 หรือประมาณ 12 ปีนับจากซับไพร์ม ก่อนที่จะเกิดวิกฤตินั้น ทั้งตลาดหุ้นไทยและเวียตนามต่างก็อยู่ในช่วงเหงาหงอย และหุ้นที่ขึ้นสู่จุดสูงสุดก็ทยอยตกลงมาประมาณ 2 ปีแล้ว ดัชนีตลาดช่วงสิ้นปี 2019 ของหุ้นไทยนั้นอยู่ที่ประมาณ 1,580 จุด ในขณะที่ดัชนีหุ้นเวียตนามนั้นอยู่ที่ประมาณ 965 จุด โดยที่ดัชนีหุ้นไทยนั้นลดลงจากจุดสูงสุดประมาณ 14% ในขณะที่ดัชนีหุ้นเวียตนามลดลงประมาณ 18% และเมื่อเกิดโควิด-19 ตอนต้นปี 2020 พอถึงเดือนมีนาคม ดัชนีตลาดหุ้นทั้งของไทยและเวียตนามก็ตกลงมาแบบ “วิกฤติ” ดัชนีหุ้นไทยลดลงมาต่ำสุดที่ประมาณ 1,034 จุดหรือลดลงประมาณ 35% จากสิ้นปีก่อนในขณะที่ดัชนีเวียตนามลดลงมาเหลือ 663 จุดหรือลดลงประมาณ 31% ในเวลาเดียวกัน
ก็เป็นอย่างที่รู้กัน ดัชนีตลาดหุ้นของไทย Rebound หรือฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็วคล้าย ๆ กับจะเป็น V-Shape ภายในไม่กี่เดือน ดัชนีขึ้นไปที่ประมาณ 1,439 จุด หรือเท่ากับการติดลบจากปลายปีก่อนแค่ประมาณ 8.9% ในช่วงต้นเดือนมิถุนายนปีนี้ เช่นเดียวกัน ดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามก็ปรับตัวขึ้นมาเป็นประมาณ 900 จุดหรือเท่ากับติดลบประมาณแค่ 6.7% จากปลายปีก่อน การปรับตัวขึ้นของดัชนีหุ้นครั้งนั้นทำให้นักลงทุนต่างก็มีความหวังว่าทั้งไทยและเวียตนามคงจะผ่านเรื่องของโควิด-19 ไปอย่างดีและก็เป็นไปในแนวทางเดียวกับตลาดหุ้นในสหรัฐที่ดัชนีทุกตัวต่างก็ปรับตัวขึ้นกันหมดเนื่องจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นดิจิตอลและไฮเท็คที่กำลังมีรายได้เพิ่มขึ้นมากอานิสงค์จากโควิดที่ทำลายเศรษฐกิจยุคเก่าแต่เอื้อประโยชน์แก่เศรษฐกิจยุคใหม่ การปรับตัวขึ้นของหุ้นรอบสั้น ๆ นี้ ถ้าคิดว่าคนเริ่มเข้าตลาดในช่วงต่ำสุดของวิกฤติโควิดในตลาดหุ้นไทย พวกเขาจะได้กำไรเฉลี่ยถึงประมาณ 39% ในเวลาแค่ 2-3 เดือน ในตลาดหุ้นเวียตนามตัวเลขก็จะเป็นประมาณ 36% ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่าทำไมตัวเลขการเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นของนักลงทุนใหม่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงนี้
แต่แล้ว ก็เช่นเดียวกับทุกครั้งในประวัติศาสตร์ หุ้นที่ปรับตัวขึ้นไปแรงมากก็ปรับตัวลงอย่าง “ไม่คาดคิด” ดัชนีตลาดหุ้นไทยลดลงมาต่อเนื่องนับจากเดือนมิถุนายนจนเหลือ 1,245 จุด ในวันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2563 หรือเท่ากับว่าดัชนีลดลงจากสิ้นปีก่อนประมาณ 21% และหลายคนอาจจะกำลังกลัวว่ามันอาจจะลดลงอีกเนื่องจากตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจและปัญหาหลายอย่างรวมถึงการเมืองไทยกำลังถาโถมเข้ามากระทบกับตลาดหุ้น ตรงกันข้าม ดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามนั้น แม้ว่าช่วงแรกจะปรับตัวลงบ้างแบบเดียวกับดัชนีหุ้นไทย แต่ในที่สุดก็ปรับตัวขึ้นกลับมาเป็น “ขาขึ้น” ที่ 908 จุดในวันเดียวกันนี้ เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจของเวียตนามถูกคาดการณ์ดีว่าจะเติบโต 3-4% ในปีนี้และทุกอย่างดูสดใส
ข้อสรุปของผมจากการมองและวิเคราะห์ดัชนีตลาดหุ้นไทยและเวียตนามมาตลอดและโดยเฉพาะหลังจากวิกฤติซับไพร์มนั้น ผมมีความรู้สึกว่าดัชนีตลาดทั้งสองแห่งนั้นมีความคล้ายกันมากจนแทบไม่น่าเชื่อ ระดับและผลตอบแทนของดัชนีรวมถึงเวลาที่เกิดขึ้นนั้นแทบจะตรงกัน ความแตกต่างที่พอเห็นได้บ้างก็คือ ผลตอบแทนของเวียตนามวัดจากดัชนีนั้นที่ผ่านมาดีกว่าของไทยเล็กน้อย แต่ในระยะไม่กี่เดือนหลังการเกิดขึ้นของโควิด-19 ดูเหมือนว่าดัชนีหุ้นของเวียตนามจะเริ่ม “ฉีก” ออกจากตลาดหุ้นไทยนั่นก็คือ หุ้นเวียตนามสามารถทนทานต่อวิกฤติได้ในขณะที่หุ้นไทยเองนั้นอาจจะ “ไปไม่รอด” ทั้งหมดนั้น สาเหตุก็อาจจะเป็นเพราะว่า เศรษฐกิจของเวียตนามและไทยในอดีตที่ผ่านมานั้น มีความละม้ายคล้ายคลึงกันมากในแง่ที่ว่าต่างก็โตขึ้นมาด้วยการลงทุนจากต่างประเทศและอาศัยการส่งออกเป็นหลัก ผู้คน สังคม จำนวนประชากรและภูมิประเทศเองก็คล้าย ๆ กัน เพียงแต่ว่าไทยเริ่มต้นก่อน ดังนั้น ดัชนีตลาดหุ้นจึงสะท้อนออกมาในรูปแบบที่สอดคล้องกันมาก
อย่างไรก็ตาม มาจนถึงเมื่อเร็ว ๆ นี้ บางสิ่งบางอย่างกำลังเกิดขึ้นซึ่งทำให้สองประเทศนี้อาจจะกำลัง “แยก” ออกจากกัน นั่นก็คือ คนไทยกำลังแก่ตัวลงอย่างรวดเร็วและก่อให้เกิด “ปัญหา” สารพัดจนทำให้เศรษฐกิจไม่สามารถโตอย่างที่เคยเป็นมาได้ ตรงกันข้าม เวียตนามกำลังอยู่ในช่วง “Prime” นั่นก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างรวมถึงเรื่องอายุของประชากรกำลังเอื้ออำนวยอย่างที่สุดต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจซึ่งไม่มีอะไรมาขวางได้รวมถึงเรื่องของโควิด-19
ประมาณ 5 ปีมาแล้วที่ผมเขียนบทความชื่อ “The Next Thailand And Beyond” ซึ่งกล่าวถึงเวียตนาม และส่วนตัวก็เริ่มไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียตนาม โดยวิธีการซื้อหุ้น “ทั้งตลาด” เพราะผมเชื่อว่าถ้าเวียตนามเติบโต หุ้นของผมก็จะเติบโตไปด้วย อย่างไรก็ตาม ผ่านไป 4 ปีครึ่ง ดูเหมือนว่าพอร์ตหุ้นเวียตนามผมจะ “ไม่ไปไหน” ผมคิดว่าเรื่องเกี่ยวกับเวียตนามที่ผมคิดไว้นั้น “ไม่ผิดเลย” เพราะประเทศดีขึ้นต่อเนื่อง ดัชนีก็ปรับเพิ่มขึ้น “พอไปได้” สิ่งที่ผิดก็อาจจะเป็นการเลือกหุ้นลงทุนที่ผมเลือกหุ้นตัวเล็กและไม่ได้เลือกเป็นรายตัว อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เริ่มโควิด-19 จนถึงปัจจุบันนั้น พอร์ตเวียตนามของผมกลับดีขึ้นมาก ทุกพอร์ตมีผลตอบแทนดีและเป็นบวกเมื่อเทียบกับต้นทุน ไม่ได้เป็นผลตอบแทนที่ดีเลิศเมื่อคิดถึงระยะเวลาที่ลงไป แต่ก็ดีพอที่จะทำให้ “ความผิดหวัง” ของผมลดลงไปมาก ว่าที่จริง ลึก ๆ แล้วผมกลับเริ่มมีความหวังกับตลาดหุ้นเวียตนามอีกครั้งหนึ่ง เพราะดู ๆ แล้ว หุ้นเวียตนามรวมถึงหุ้นที่มีศักยภาพสูงมากในตลาดยังมีราคาที่ “ถูกมาก” ถ้าวันไหนคนเวียตนามหันมาลงทุนในตลาดหุ้นมากเหมือนอย่างในตลาดหุ้นไทย และ/หรือวันไหนที่ตลาดหุ้นเวียตนามได้รับการยอมรับจากสถาบันการลงทุนระดับโลก ก็มีโอกาสว่าหุ้นจะปรับตัวขึ้นไปได้สูงกว่านี้อีกมาก
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ที่มาบทความ: https://portal.settrade.com/blog/nivate/2020/09/28/2392