สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยตกลงมาหนักมากและน่าจะมากที่สุดในโลกคือดัชนีตลาดหุ้นตกลงมาจาก 1495 จุดในวันที่ 21 เป็น 1341 จุดในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 63 หรือตกลงมา 155 จุดคิดเป็น ประมาณ 10% และเมื่อคิดจากต้นปี ดัชนีตลาดหุ้นก็ตกลงมาถึง 15% แล้วและก็น่าจะเป็นตลาดหุ้นที่ตกลงมามากที่สุดในโลกเช่นเดียวกัน ทั้งหมดนี้นักวิเคราะห์บอกว่าเป็นผลจากการแพร่ระบาดของโลกไวรัสโควิด-19 ที่ดูเหมือนว่ากำลังจะกระจายไปทั่วโลก และเนื่องจากประเทศไทยนั้นอิงกับการท่องเที่ยวมากกว่าประเทศอื่น ตลาดหุ้นของไทยจึงตกมากกว่าประเทศอื่น แต่สิ่งที่หลายคนอาจจะไม่ได้พูดถึงก็คือ หลายปีที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นหลัก ๆ ของโลกนั้นปรับตัวขึ้นดีกว่าดัชนีตลาดหุ้นของไทยมาก ในช่วงประมาณ 1 ปีที่ผ่านมานั้นดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นเป็น New High หรือจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์เป็นว่าเล่น ในขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้นไม่ได้ไปไหนมา 6-7 ปีแล้ว คนที่เล่นหุ้นหรือลงทุนนั้นต่างก็ขาดทุนกันอย่างหนักและรู้สึกเศร้าใจที่เห็นพอร์ตของตนเองลดลงมากในเวลาอันสั้น
การที่ตลาดหุ้นตกลงมาอย่างต่อเนื่องและดูเหมือนว่ากำลังจะตกลงมาอย่างแรงในช่วงเวลานี้นั้น ผมคิดว่ามีเหตุผลมากกว่าเรื่องไวรัสที่แน่นอนว่ามีผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจในระยะเวลาอันสั้น แต่ในที่สุดไวรัสโควิดก็น่าจะผ่านไปเช่นเดียวกับไวรัสตัวอื่น ๆ ที่เคยเกิดขึ้น ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น การตกลงมาของหุ้นก็จะเป็นเรื่องชั่วคราว หลังจากที่โลกสามารถควบคุมมันได้แล้ว ราคาหุ้นของไทยก็จะดีดตัวกลับอย่างแรง การลงทุนซื้อหุ้นที่ตกลงมามากก็อาจจะทำกำไรได้มหาศาล แต่ถ้าการตกต่ำลงของหุ้นไทยมีเหตุผลมาจากเรื่องอื่น ๆ ด้วยและเรื่องเหล่านั้นอาจจะ “ไม่ผ่านไป” หุ้นไทยก็อาจจะไม่ได้ปรับตัวขึ้นโดดเด่นอย่างที่คิดแม้ว่าไวรัสจะสงบลงไปมากแล้วก็ได้
ผมเองได้เคยพูดไว้มากแล้วว่าประเทศไทยมีปัญหาหลายอย่างที่ทำให้เศรษฐกิจจะไม่เติบโตเร็วอีกต่อไปและเป็นเรื่องของโครงสร้างประชากรที่แก่ตัวลงอย่างรวดเร็วที่เรายังไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาได้ ว่าที่จริงยังไม่มีใครคิดจะแก้ปัญหาด้วยซ้ำ ดังนั้น การที่จะหวังผลตอบแทนจากการลงทุนระยะยาวที่สูงอย่างในอดีตในตลาดหุ้นไทยนั้นน่าจะยาก อย่างไรก็ตาม การได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสมและดีกว่าการลงทุนในทรัพย์สินอื่นเช่น การฝากเงินหรือลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ก็ยังเป็นไปได้ ผมเองคิดว่าการที่จะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยสักปีละ 6-7% แบบทบต้นในตลาดหุ้นไทยในระยะเวลาสัก 10 ปีข้างหน้าก็น่าจะพอใจแล้ว นี่ก็สิ่งที่ผมคิดโดยไม่ได้คำนึงถึงปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ นอกเหนือไปจากเรื่องของเศรษฐกิจ
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาไม่กี่ปีมานี้จนถึงปัจจุบันทำให้ผมรู้สึกว่าอนาคตของประเทศไทยนั้นอาจจะไม่ได้สดใสและรื่นรมย์อย่างที่เราเคยเป็นมา สภาวะแวดล้อมทางสังคมและการเมืองที่ค่อย ๆ เกิดขึ้นหรือเผยออกมานั้นหลายเรื่องรุนแรงและกระทบกับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนไม่น้อยและดูเหมือนว่าการตระหนักหรือการแก้ไขอย่างจริงจังยังไม่เกิดขึ้น หลาย ๆ อย่างนั้นทำให้ชีวิตของคนจำนวนมากเปลี่ยนแปลงไปในทางที่มีความสุขน้อยลงและมีความเครียดมากขึ้น อนาคตสำหรับหลายคนดูมืดมน คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ เราจะไปกันหรืออยู่กันอย่างไร? จิตวิทยาที่คนและสังคมนั้นมักจะต้อง “มีความหวัง” ผมคิดว่าตอนนี้น่าจะลดลง บางคนอาจจะ “สิ้นหวัง” เพราะไม่รู้ว่าเราจะเดินไปทางไหน
เรื่องของสังคมหรือความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันนั้น เริ่มที่เรื่องของฝุ่นละอองในอากาศที่ดูเลวร้ายลงเรื่อย ๆ และดูเหมือนว่าทุกปีก็จะต้องมีช่วงเวลาหนึ่งที่เราต้องหลีกเลี่ยงหรือป้องกันตัวเองจากฝุ่นที่กระจายกันทั่วเมืองและเกือบทั่วประเทศ ผมเองรู้สึกว่าชีวิตในช่วงที่ฝุ่นมาเป็นเวลาอย่างน้อยน่าจะ 2-3 เดือนต่อปีนั้น เป็นชีวิตที่มีความสุขน้อยลงมาก เงินทองที่มีก็อาจจะ “ซื้ออากาศที่สะอาด” ได้บ้าง เช่น เดินทางไปต่างประเทศหรือต่างจังหวัดแต่ก็ทำได้ค่อนข้างจำกัดเพราะทุกคนก็ยังมีภารกิจที่ต้องทำอยู่ บางครั้งผมก็ถามตัวเองว่าเมื่อไรจะมีคนแก้ปัญหาอย่างจริงจัง คำตอบดูเหมือนว่ารอจนถึงฤดูกาลเปลี่ยนเดี๋ยวมันก็หายไปเอง เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ นาน ๆ ไปเดี๋ยวเราก็จะ “ชิน” กันไปเอง
ผู้ประกอบการรายย่อยจำนวนไม่น้อยผมคิดว่ากำลังกลุ้มใจว่าธุรกิจของตนเองกำลังตกต่ำลงและไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไรเพราะกำลังถูก Disrupt จากเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ตนเองไม่เชี่ยวชาญหรือยังไงก็ต้านธุรกิจขนาดใหญ่รุ่นใหม่ ๆ ไม่ไหว รายได้และกำไรหดหายและบางทีอาจจะใกล้ที่จะไม่สามารถคืนหนี้ได้ พวกเขาจะทำอย่างไร ข่าวการฆ่าตัวตายดูเหมือนจะมากขึ้น จริงอยู่คงมีคนส่วนน้อยที่ทำแบบนั้น แต่คนจำนวนมากที่มีปัญหาคงจะเครียดและก็อาจจะยังไม่เห็นทางออก บางทีเขาอาจจะต้องเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตที่เคยชินมานาน ที่พูดนี้รวมไปถึงชาวไร่ชาวนาซึ่งก็กำลังเผชิญกับภัยแล้วที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในปีนี้ พวกเขาคงกำลังเหนื่อยหนัก แต่คำปลอบก็คือ ปีหน้าคงไม่แล้งและชีวิตก็จะดีขึ้น นี่ก็เป็นอะไรที่ดูเหมือนว่าจะวนเวียนเป็นวัฏจักรเพราะชาวไร่ชาวนาไทยนั้นชีวิตขึ้นอยู่กับฝนฟ้าเป็นหลัก ความแน่นอนมีน้อยมาก
สำหรับคนรุ่นใหม่ที่เป็นหนุ่มสาวและหลายคนกำลังจะเข้าสู่การทำงานหลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย ชีวิตในช่วงเวลานี้ดูเหมือนว่าจะไม่เอื้ออำนวยนัก ธุรกิจที่ต้องใช้คนที่มีการศึกษาสูงจำนวนมากเช่นสถาบันการเงินต่างก็ไม่รับคนเพิ่ม บางแห่งปลดคนออกเนื่องจากธุรกิจซบเซาหรือการทำงานเปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากเทคโนโลยี ผลก็คือ หลายคนหางานไม่ได้หรือใช้เวลานานมาก เป็นไปได้ว่าในที่สุดบางคนก็อาจจะต้องทำงานที่ต่ำกว่าวุฒิการศึกษาตลอดกาลเพราะความรู้ที่เรียนมานั้น ไม่จำเป็นอีกต่อไป
ในด้านของการเมืองเองนั้น ช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาก็ต้องยอมรับว่าคนที่เกี่ยวข้องและสนใจการเมืองต่างก็ “เครียด” ที่พบว่าการเมืองของไทยนั้นไม่ได้สร้างระบบที่คนส่วนใหญ่หรือทุกคนอยู่ร่วมกันได้อย่างสมานฉันท์ซึ่งก็คือต่างก็ยอมรับกฎเกณฑ์ที่กำหนดร่วมกันโดยที่ไม่มีคนที่ได้เปรียบหรือเสียเปรียบตลอดกาล ความแตกต่างทางด้านความคิดทางการเมืองของผู้คนนั้นก็ดูเหมือนว่าจะมากขึ้น แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ มีความแตกต่างระหว่างคนหนุ่มสาวหรือคนรุ่นใหม่กับคนสูงอายุที่เป็นคนรุ่นเก่ามากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งทำให้เกิดการเรียกร้องที่จะเปลี่ยนแปลงแนวทางและปรัชญาการปกครองไปในทางที่แต่ละกลุ่มต้องการซึ่งไม่เหมือนกัน เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ คนรุ่นใหม่ต้องการสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคมากขึ้นในขณะที่คนรุ่นเก่าต้องการรักษาระเบียบประเพณีและวัฒนธรรมดั้งเดิมรวมถึง “ความมั่นคง” ที่เคยเป็นเสาหลักในการปกครองของประเทศมาช้านาน “การต่อสู้ทางการเมือง” ในช่วงนี้สำหรับหลายคนแล้วก็ดูเหมือนว่าเป็น “ความมืดมน” ที่ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน ผมเองก็ได้แต่คิดว่า ในที่สุดประเทศก็ต้องเป็นไปตามความคิดของคนรุ่นใหม่เพราะคนรุ่นเก่ายังไงก็จะต้องจากไปตามอายุ แต่ก่อนจะถึงวันนั้น เราจะต้องประสบกับอะไรบ้างที่อาจจะเลวร้ายและเราไม่ต้องการให้เกิด
ผมยังไม่ได้พูดถึงปัญหาทางเศรษฐกิจเฉพาะหน้าที่คนจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะที่อยู่ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและที่เกี่ยวข้องเป็นล้าน ๆ คนต้องตกงานหรือทำงานน้อยลงเนื่องจากภาวะโรคไวรัสระบาดและความซบเซาทางเศรษฐกิจที่ตามมา ผมคงไม่มีเนื้อที่ที่จะพูดถึง แต่คนเหล่านี้จะอยู่กันอย่างไรเพราะส่วนใหญ่ก็อาจจะมีหนี้เต็มอัตราไม่สามารถกูยืมเพิ่มขึ้นได้ ถ้าหากว่าเชื้อไวรัสไม่สงบลงภายในเวลาไม่กี่เดือน ปัญหาคงตามมาอีกมาก คนที่เศร้า มืดมน และสิ้นหวังอาจจะเพิ่มขึ้นมากจนรับไม่ไหว
ในฐานะของนักลงทุนที่มีชีวิตอยู่มายาวนานพอสมควรและผ่านเหตุการณ์สำคัญและสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปของไทยมาหลายครั้ง ผมคิดว่า เหตุการณ์และสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกับครั้งนี้ก็คือช่วงหลังปี 2519 ที่เกิดเหตุการณ์ 16 ตุลาคม น่าจะเป็นช่วงที่ประเทศไทยประสบกับความเศร้าและไม่แน่นอนรวมถึงการไม่รู้ว่าอนาคตจะไปทางไหน อย่างไรก็ตาม เราก็ผ่านมาได้เป็นอย่างดีในเวลาที่เร็วกว่าที่คิดมาก ในครั้งนี้ผมเองก็คิดว่าเราก็คงจะต้องผ่านมันไปได้ ผมไม่เคยสิ้นหวังและยังคงถือหุ้นอยู่เต็มร้อยและอยู่ในประเทศไทยต่อไป-จนตาย และผมก็คิดว่าคนหนุ่มสาวทุกคนต่างก็ยังไม่สิ้นหวังที่จะเห็นประเทศไทยที่รุ่งเรือง งดงาม และทุกคนอยู่ได้อย่างมีความสุขอย่างที่เคยเป็นมาหลายสิบปีในยุคของคนรุ่นผม
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ที่มาบทความ: https://portal.settrade.com/blog/nivate/2020/03/02/2282