นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากมักจะเชื่อว่าความสำเร็จในการลงทุนนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับวิธีการหรือกระบวนการลงทุน พวกเขาคิดว่าวิธีการอย่างไรก็ได้ ขอให้ทำแล้วได้กำไร พูดง่าย ๆ ซื้อถูกแล้วขายแพง แต่ถ้าถามต่อว่าจะทำอย่างไรจึงจะซื้อได้ในราคาถูกและขายได้ในราคาที่แพงเป็นส่วนใหญ่เขาก็มักจะตอบไม่ได้ คนเหล่านี้ผมคิดว่าเขาลงทุนด้วยความรู้สึกหรืออารมณ์มากกว่าการวิเคราะห์ด้วยเหตุผลหรือวิชาการ เขารู้สึกว่าหลักการเหล่านั้นมันอาจจะยากเกินไปหรือช้าเกินไปสำหรับการลงทุน สำหรับเขาแล้ว หัวใจสำคัญก็คือการคอยดูว่า “เจ้ามือ” หรือนักเล่นหุ้นรายใหญ่เขาจะเล่นหรือซื้อขายหุ้นตัวไหนและในทิศทางไหน ดังนั้น การดูการเคลื่อนไหวของราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้นคือสิ่งที่เขาจะต้องทำตลอดเวลา นอกจากนั้นพวกเขาก็จะต้องคอยติดตามข่าวสารต่าง ๆ ตามหน้าหนังสือพิมพ์ที่เน้นเรื่องหุ้นและข่าวซุบซิบตามเว็บไซต์และข้อมูลจากสื่อสังคมเช่นในไลน์กลุ่มต่าง ๆ เป็นต้น ในสายตาของนักลงทุนที่มีความรู้หรือประสบการณ์แล้ว คนเหล่านี้มักจะถูกเรียกว่า “แมงเม่า” ซึ่งมักจะเข้ามาซื้อขายหุ้นรายวันในหุ้นที่กำลังมีการปรับตัวที่ “ร้อนแรง” ทั้งทางขึ้นและทางลง
นักลงทุนที่อาจจะมีขนาดพอร์ตใหญ่ขึ้นมาและมีความรู้และประสบการณ์สูงขึ้นก็จะมีวิธีการหรือกระบวนการลงทุนที่เป็นระบบหรือวิชาการมากขึ้น บางคนใช้วิธีการทางเทคนิคเพื่อที่จะบอกว่าเขาควรจะซื้อหรือขายหุ้นตัวไหนและเขาก็มักจะทำตามโดยไม่สนใจข่าวสารหรือประเด็นอะไรเกี่ยวข้องกับตัวหุ้น เขาคิดว่าถ้ามีข่าว ข่าวนั้นก็ถูกสะท้อนเข้าไปอยู่ในราคาและปริมาณการซื้อขายของหุ้นอยู่แล้ว การนำข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์พิจารณาอีกก็จะกลายเป็นการซ้ำซ้อนและจะทำให้เกิดความผิดพลาด ในกรณีแบบนี้เขาก็จะถูกเรียกว่าเป็นนักลงทุนแนวเทคนิค
นักลงทุนที่ถูกเรียกว่า Value Investor นั้น มักจะเป็นคนที่ต้องแสวงหาข้อมูลและวิเคราะห์พื้นฐานของกิจการอย่างถี่ถ้วนตั้งแต่การผลิตการตลาดการเงินและการแข่งขันของธุรกิจรวมถึงการประเมินมูลค่าที่เหมาะสมของหุ้น การซื้อหุ้นนั้นจะต้องดูว่ามูลค่านั้นสูงกว่าราคาที่เป็นอยู่มากพอสมควรที่เรียกว่า Margin of Safety ส่วนการขายก็เป็นตรงกันข้ามนั่นก็คือ ราคาสูงเกินมูลค่าที่เหมาะสมไปแล้ว ดังนั้น คนที่เป็น VI จึงมักจะถือหุ้นอยู่นานกว่านักลงทุนแนวอื่น เพราะการเคลื่อนไหวของราคาอาจจะต้องใช้เวลา นอกจากนั้น มูลค่าพื้นฐานก็อาจจะเปลี่ยนไปด้วย
นักลงทุนบางคนนั้น อาจจะใช้ข้อมูลและการวิเคราะห์ทั้งทางเทคนิคและพื้นฐานแบบ VI ในการตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้น เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ วิเคราะห์หุ้นที่จะซื้อหรือขายแบบ VI แต่จะซื้อหรือขายจริงก็ต้องรอให้เส้นกราฟทางเทคนิคบอกให้ทำ ด้วยวิธีนี้เขาบอกว่าจะทำให้ไม่ผิดพลาดในการเลือกตัวหุ้นที่จะลงทุนเช่นเดียวกับที่ทำให้ไม่ต้องรอนานในการสร้างผลตอบแทน แต่ถ้าพูดกันตามความจริง ก็เป็นเรื่องยากเหมือนกันที่จะใช้วิธีการแบบนี้ เหตุผลเพราะว่าคนที่เป็น VI ส่วนใหญ่ก็มักจะไม่ค่อยเชื่อในด้านของเทคนิคและก็มักจะไม่เรียนรู้วิธีที่จะทำ ในขณะที่นักเทคนิคเองนั้น เขาก็อาจจะคิดอยู่แล้วว่าข้อมูลด้านพื้นฐานนั้น ถ้าบริษัทกำลังมีผลงานที่ดีราคาหุ้นก็มักจะปรับตัวขึ้นไปรองรับอยู่แล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องดูข้อมูลด้านคุณค่า ยิ่งนำมาคิดก็จะยิ่งสับสนทำให้พลาดการลงทุนในหุ้นหรือขายหุ้นเพราะ “ไม่เชื่อกราฟ”
นักลงทุนอีกกลุ่มหนึ่งที่อาจจะได้รับฉายาว่าเป็น “เจ้า” หรือเป็น “เซียน” ซึ่งมักจะมีขนาดของพอร์ตใหญ่ขึ้นหรือเป็นนักลงทุนที่มัก “เกาะ” ไปกับรายใหญ่ในการลงทุนนั้น บางทีไม่ได้ลงทุนแบบ “Passive” ในแง่ที่ว่าพวกเขาศึกษาและใช้แต่ข้อมูลที่มีการประกาศต่อสาธารณะแล้ว กระบวนการลงทุนของพวกเขาจะเป็นการหาข้อมูลที่ลึกซึ้งกว่าคนทั่วไปและมักจะมีการติดต่อพูดคุยกับผู้บริหารและ/หรือเจ้าของบริษัท พวกเขาจะพยายามหา “ข้อมูลภายใน” โดยเฉพาะที่เป็นเรื่องสำคัญเช่น ผลประกอบการที่กำลังจะประกาศในเร็ว ๆ นี้ หรือข้อมูลอื่น ๆ เช่น การขยายเข้าไปทำธุรกิจเดิมหรือธุรกิจใหม่โดยการควบรวม เป็นต้น
นอกจากเรื่องของบริษัทแล้ว นักลงทุนแบบ “Active” ยังอาจจะพยายามเข้าไปมีอิทธิพลต่อการซื้อขายและราคาหุ้นของบริษัทด้วย ซึ่งอาจจะรวมถึงการสั่งซื้อหุ้นจำนวนมากและชักชวนให้เพื่อนและนักลงทุนอื่น ๆ เข้าไปซื้อหุ้นโดยการ “สร้างกระแส” ข่าวดีและความน่าสนใจของหุ้นพร้อม ๆ กับราคาที่มักจะ “กระโดด” เนื่องจากแรงซื้อที่มากเมื่อเทียบกับ Free Float ของหุ้นในตลาด คนกลุ่มนี้บ่อยครั้งก็อาศัยการ Leverage หรือการกู้เงินจำนวนมากหรือใช้เครื่องมือขยายกำลังเช่น การทำ Block Trade เพื่อที่จะสามารถเพิ่มพลังการซื้อของตนเป็น 10 เท่า เพื่อที่จะขับดันราคาหุ้นให้เป็นไปตามที่ต้องการได้ ดังนั้น โดยสรุปแล้ว กระบวนการในการเล่นหุ้นหรือลงทุนของ Active Investor แบบนี้ก็ต้องอาศัยการดำเนินการแบบเป็นกลุ่มที่ทุกคนต่างก็ช่วยสนับสนุนซึ่งกันและกันโดยเฉพาะในช่วงแรก อย่างไรก็ตาม หลังจากที่หุ้นปรับตัวขึ้นไปมหาศาลแล้ว การร่วมมือก็มักจะหมดไป และจังหวะของการขายก็มักจะเป็นเรื่อง “ตัวใครตัวมัน”
พูดถึงเรื่องของวิธีหรือกระบวนการการลงทุนแล้วเราก็ต้องตามมาด้วย “ผลตอบแทน” หรือเงินที่จะได้รับจากการลงทุน ผมเองมีความเชื่อว่าการลงทุนแบบ “แมงเม่า” นั้น ไม่น่าจะมีใครสามารถทำเงินได้เป็นเรื่องเป็นราว ผมคิดว่าคนที่ทำนั้นเองก็อาจจะรู้ว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นไม่สามารถที่จะเปลี่ยนชีวิตการเงินของตนเองหรือให้ผลตอบแทนที่ดีแก่ตนเองได้แม้ว่าจะทำให้ “มีความหวัง” ทุกวันคล้าย ๆ กับคน “แทงหวย” หรือซื้อล็อตเตอรี่
ผมเองไม่เชื่อในการวิเคราะห์ทางเทคนิค ดังนั้น ผมก็ไม่ได้สนใจว่าจะมีใครสามารถทำเงินได้มาก ๆ ด้วยวิธีนี้ ผมรู้สึกว่าการเล่นหุ้นด้วยกราฟนั้นมักจะทำให้ต้องซื้อ ๆ ขาย ๆ บ่อยมากซึ่งจะทำให้ต้องเสียค่าคอมสูงซึ่งถ้าทำไปนาน ๆ โอกาสที่จะได้ผลตอบแทนสูงก็น่าจะยาก
วิธีคิดและกระบวนการลงทุนแบบ VI นั้น ผมคิดว่ามันเป็นกระบวนการที่สนุกตื่นเต้นโดยเฉพาะคนที่สนใจเรื่องของธุรกิจและการแข่งขัน มันต้องอาศัยศาสตร์และศิลป์ในการวิเคราะห์กิจการและประเมินมูลค่าของหุ้น มันต้องอาศัยจิตใจและการควบคุมอารมณ์ให้มั่นคงไม่วอกแวกต่อสิ่งเร้าที่จะทำให้เราตัดสินใจผิดพลาด เราต้องรู้จักโลกและผู้คนที่อยู่รอบตัวในด้านต่าง ๆ ทั้งหมดนั้นหมายความว่าเราต้องอ่านอย่างหนัก และคนที่สามารถทำได้ดีกว่าคนอื่นก็น่าจะสามารถทำผลตอบแทนการลงทุนได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยในระยะยาวด้วยความเสี่ยงที่ต่ำกว่า
การลงทุนอย่าง “Active” นั้น บางครั้งหรืออาจจะบ่อยครั้งก็มักจะช่วยเพิ่มผลตอบแทนให้กับคนที่ทำได้ กระบวนการที่เมื่อซื้อหุ้นแล้วก็พยายามทำกิจกรรมหลาย ๆ อย่างเพื่อที่จะช่วยขับดันราคาหุ้นนั้นไม่ใช่เรื่องที่ผิดเสมอไป ในบางครั้งผมเองก็เข้าไป “โวย” หรือแนะนำให้ผู้บริหารทำบางสิ่งบางอย่างที่จะทำให้บริษัททำรายได้หรือกำไรสูงขึ้น หรือบางทีก็ไปเสนอให้บริษัทจ่ายปันผลในอัตราที่สูงขึ้นซึ่งน่าจะทำให้ราคาหุ้นสูงขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม การทำกิจกรรมที่คาบเกี่ยวกับกฎหมายหรือจริยธรรมเช่น การแสวงหาข้อมูลภายใน การซื้อขายหุ้นในลักษณะที่เข้าข่ายหรือมีผลเท่ากับการ “ปั่นหุ้น” เพื่อที่จะขับราคาหุ้นให้ขึ้นไปผิดกับความเป็นจริงนั้น ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมและไม่คุ้มค่า จริงอยู่ในระยะสั้นบางครั้งมันก็ทำให้เราได้กำไรหรือได้เงินหรือได้ผลตอบแทนดีขึ้นกว่าปกติมาก แต่ในระยะยาวแล้ว ก็อาจจะพลาด เสียหายอย่างหนักได้
การได้เงินมาก ๆ นั้น แน่นอนมันทำให้มีความสุข แต่การมีวิธีการหรือกระบวนลงทุนที่ถูกต้องไม่ทำให้เรารู้สึกไม่ดีหรือ “ดิ่งเหว” ก็เป็นเรื่องที่ทำให้เรามีความสุขไม่แพ้กัน วอเร็น บัฟเฟตต์พูดเรื่องนี้ไว้ว่า “We enjoy the process far more than the proceeds, though I have learned to live with those too.” ซึ่งแปลว่า “เรามีความสุขกับกระบวนการลงทุนมากกว่าเงินที่ได้รับมาก ถึงแม้ว่าผมจะได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน(เงิน)ด้วยเช่นกัน” หรือสรุปง่าย ๆ ก็คือ จงสนุกกับการลงทุนและกระบวนการลงทุนที่ถูกต้อง ส่วนเรื่องเงินนั้น—มันก็คงจะมาเอง และคุณก็จะมีความสุขกับมันเช่นเดียวกัน! คนที่คิดว่าจะใช้วิธีไหนในการลงทุนก็ได้ ขอให้ได้กำไรก็พอ นั้น เขาอาจจะไม่ได้เงินหรือได้ก็ไม่ยั่งยืน หรือถ้าได้เงินก็อาจจะไม่มีความสุขมากนักเทียบกับคนที่ใช้วิธีการลงทุนที่ถูกต้อง
ที่มาบทความ: http://www.thaivi.org/process-proceeds/