ถึงวันนี้ที่ดูเหมือนว่าโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในขณะที่ประเทศไทยกำลัง “ถดถอย” ในหลาย ๆ ด้านรวมถึงการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ อานิสงส์จากการที่สังคมไทยกำลังแก่ตัวลงอย่างรวดเร็วและการพัฒนาทางด้านศักยภาพของคนก็ยังไม่ก้าวหน้าขึ้น เห็นได้จากความสามารถในวิชาความรู้ต่าง ๆ เช่น การใช้ภาษาอังกฤษหรือความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ที่ตกต่ำลงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ นี่ทำให้ผมคิดถึงการลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นไทยต่อจากนี้ไปอีกเป็นสิบ ๆ ปีข้างหน้าว่าเราอาจจะต้องเปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยทำมาในอดีต เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ เราอาจจะไม่สามารถลงทุนเฉพาะแต่ในประเทศไทยเพียงแห่งเดียวได้ การแสวงหาโอกาสการลงทุนในต่างประเทศจะเป็นสิ่งที่นักลงทุนโดยเฉพาะคนหนุ่มสาวไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ถ้าหวังที่จะได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม
คนที่ต้องการลงทุน “เพื่อชีวิต” ซึ่งหมายความว่าเขาจะต้องลงทุนตลอดเวลาในช่วงที่เขาทำงานหาเงินและเก็บออมเพื่อที่จะสร้างพอร์ตการลงทุนที่จะเติบโตไปเรื่อย ๆ จนถึงวันเกษียณและมีเงินเพียงพอที่จะใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างสุขสบายจนตายนั้น จะต้องคิดถึงผลตอบแทนการลงทุนที่ดีกว่าการลงทุนอื่น ๆ ในระยะยาวและต้องได้ผลตอบแทนเฉลี่ยอย่างน้อยน่าจะซัก 7% ต่อปีแบบทบต้นขึ้นไป ซึ่งก็แน่นอนว่าพอร์ตการลงทุนส่วนใหญ่ก็จะต้องเป็นการลงทุนในหุ้นเป็นส่วนใหญ่เท่านั้น เพราะ “ประวัติศาสตร์ระยะยาว” บอกว่า ในตลาดหุ้นของประเทศที่มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีมากนั้น จะให้ผลตอบแทนแบบทบต้นสูงกว่า 7% ต่อปีได้ บางประเทศที่โดดเด่นจริง ๆ ซึ่งรวมถึงประเทศไทยในอดีตนั้น ให้ผลตอบแทนถึงเกือบ 10% ต่อปีเป็นเวลาหลายสิบปีด้วยซ้ำ
หน้าที่ของคนหนุ่มสาวที่อาจจะเพิ่งเริ่มลงทุนมาไม่นานก็คือการวิเคราะห์และเลือกหาตลาดหุ้นและหุ้นที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีในอีกอย่างน้อย 10 หรือหลายสิบปีข้างหน้า ลงทุนถือหุ้นระยะยาวไปเรื่อย ๆ ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่วิธีการที่ผมและนักลงทุน VI จำนวนมากเคยใช้ในตลาดหุ้นไทยเมื่อประมาณ 20 ปีก่อนและประสบความสำเร็จอย่างสูงจนมีอิสรภาพทางการเงินหรือรวยตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 50-60 ปีในวันนี้ นักลงทุนรุ่นใหม่จะต้องตระหนักว่า ถ้าประเทศไทยโตช้าหรืออิ่มตัวแล้วเนื่องจากคนแก่ตัวลงและไม่สามารถเพิ่มผลิตภาพได้ ตลาดหุ้นก็จะไม่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีได้เช่นกัน ตัวอย่างที่เห็นชัดก็คือที่ญี่ปุ่นที่ตลาดหุ้นไม่ได้ให้ผลตอบแทนในระยะยาวเป็นเวลาหลายสิบปีมาแล้ว
ในความคิดของผม ตลาดหุ้น “แห่งอนาคต” ที่ผมคิดว่าน่าสนใจและเหมาะสมที่จะลงทุนระยะยาวในอีกอย่างน้อยซัก 10 ปีข้างหน้านั้น มีอย่างน้อย 3-4 แห่ง ที่เราควรเลือกกระจายการลงทุนเป็นพอร์ตโฟลิโอเพื่อป้องกันความเสี่ยงและให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว โดยที่ผมคิดว่าอาจจะแบ่งเงินเท่า ๆ กันหรือใกล้เคียงกันในแต่ละตลาดขึ้นอยู่กับระดับความต้องการผลตอบแทนและความสามารถในการรับความเสี่ยงของแต่ละคน ตลาด 4 แห่งที่ผมเสนอก็คือ ตลาดหุ้นสหรัฐ จีน เวียตนาม และตลาดหลักทรัพย์ฯ ไทย โดยเหตุผลมีดังต่อไปนี้
หนึ่ง ตลาดหุ้นสหรัฐ นี่คือประเทศที่ผมคิดว่ายังจะสามารถรักษาความเป็น “Super Power” หรือมหาอำนาจชั้นนำได้ต่อไปอีกหลายสิบปี เหตุผลคงเป็นเพราะด้วยระบบสังคมและการปกครองที่เปิดกว้างมากที่ส่งเสริมให้คนสามารถปลดปล่อยศักยภาพได้เต็มที่ซึ่งทำให้ระบบเศรษฐกิจก้าวหน้าและมีความคิดสร้างสรรค์สูง เห็นได้จากการมีนักประดิษฐ์และผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจดิจิตอลและไฮเท็คจำนวนมากที่มีอายุน้อย นอกจากนั้น ถ้ามองในแง่ของจำนวนคนซึ่งจะเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคก็ไม่มีปัญหา เพราะสินค้ารุ่นใหม่ที่ผลิตในอเมริกานั้นส่วนใหญ่ก็ขายไปทั่วโลก ในด้านของคนที่ผลิตเองนั้นก็ไม่ได้มีปัญหา เพราะคนอเมริกันก็มีจำนวนมากและไม่ได้แก่ตัวลงเหมือนประเทศพัฒนาแล้วส่วนใหญ่เนื่องจากการที่มีผู้อพยพที่มีศักยภาพสูงเข้าประเทศตลอดเวลา ว่าที่จริง คนที่เป็น Elite หรือผู้นำนั้น จำนวนมากก็มาจากกลุ่มผู้อพยพหรือลูกหลานที่เพิ่งเข้าไปอยู่ในอเมริกาไม่นานนัก ข้อดีของตลาดหุ้นอเมริกาอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญก็คือ เป็นตลาดที่มีความโปร่งใสและมีข้อมูลที่เราจะหาได้หรือสัมผัสได้เท่า ๆ กับคนอื่น
สอง ตลาดหุ้นจีน นี่คือประเทศที่กำลังก้าวขึ้นมาเป็น Super Power รายใหม่ที่สามารถแข่งกับสหรัฐได้โดยเฉพาะทางด้านของเทคโนโลยีเนื่องจากจำนวนคนหรือผู้บริโภคมหาศาลและกำลังการผลิตของคนที่มีความสามารถสูง ซึ่งประเด็นนี้จะทำให้เศรษฐกิจของจีนจะยังสามารถเติบโตขึ้นค่อนข้างเร็วต่อไปอีกนับสิบปีทั้ง ๆ ที่คนกำลังแก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว พูดง่าย ๆ ก็คือ จีนยังสามารถเพิ่มผลิตภาพของตนเองได้อานิสงส์จากการใช้เทคโนโลยีที่เข้มข้น เศรษฐกิจของจีนนั้นค่อนข้างแน่นอนว่าในอนาคตจะใหญ่กว่าอเมริกา และถ้ามองรายได้ต่อหัวซึ่งจะเป็นตัวที่วัดว่าเป็นประเทศร่ำรวยแล้วหรือยังนั้น ผมก็คิดว่าคนจีนคงจะบรรลุถึงจุดนั้นได้ภายในเวลาไม่เกิน 10-20 ปี หรือพูดง่าย ๆ ว่าจีนคงจะ “รวยก่อนแก่” ดังนั้น ตลาดหุ้นของจีนน่าจะสามารถสร้างตอบแทนเฉลี่ยทบต้นต่อปีได้ค่อนข้างดีต่อไปอีกเป็น 10 ปีขึ้นไป
สามคือตลาดหุ้นเวียตนาม ซึ่งผมได้ติดตามและพูดถึงโดยตลอดในช่วง 4-5 ปีที่ผ่าน เรื่องราวการพัฒนาทางเศรษฐกิจของเวียตนามนั้นชัดเจนมากว่าจะต้องเติบโตอย่างรวดเร็วต่อไปอีกเป็นสิบ ๆ ปี โดยช่วงนี้ก็จะเป็นการเติบโตทางด้านการผลิตทางอุตสาหกรรมที่มาจากการลงทุนของประเทศพัฒนาแล้วทั่วโลก ความได้เปรียบในการเป็นฐานการผลิตของเวียตนามนั้น น่าจะสูงที่สุดในโลกประเทศหนึ่งในช่วงนี้และต่อไปอีกนานเนื่องจากมีกำลังแรงงานจำนวนมากที่มีคุณภาพดีเห็นได้จากความสามารถในด้านวิทยาศาสตร์ของเด็กนักเรียนเวียตนามที่ติดอันดับโลกและสูงพอ ๆ กับประเทศพัฒนาแล้ว เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ เวียตนามมีสนธิสัญญาการค้าเสรีกับอเมริกาและสหภาพยุโรปซึ่งเป็นตลาดที่สำคัญที่สุดในการส่งออกสินค้าจากเวียตนาม ผมเองเชื่อว่าเวียตนามกำลังเดินหน้าสู่การเป็น “A new economic miracle” หรือ “เศรษฐกิจมหัศจรรย์ใหม่” ในทศวรรษหน้า ดังนั้น การลงทุนในตลาดหุ้นเวียตนามมีโอกาสที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีคล้าย ๆ กับที่เกิดกับตลาดหุ้นไทยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
สี่และสุดท้ายก็คือ ตลาดหุ้นไทย เหตุผลที่ผมคิดว่าเรายังจำเป็นหรือควรที่จะมีพอร์ตส่วนหนึ่งในตลาดหุ้นไทยก็เพราะว่ามันคือประเทศที่เราอาศัยอยู่ เรายังต้องใช้เงินบาทในการดำรงชีพประจำวัน และที่สำคัญก็คือ เรารู้จักตลาดหุ้นไทยมากที่สุด จริงอยู่ มองในแง่ของ “อนาคต” ของประเทศไทยแล้ว ดูเหมือนว่ามันจะไม่สดใสเท่าไรนักอย่างที่กล่าวไว้โดยเฉพาะเรื่องของคนที่แก่ตัวลงซึ่งเป็นเรื่องทางโครงสร้างที่เปลี่ยนได้ยาก แต่โอกาสที่ผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหุ้นโดยเฉพาะในช่วงประมาณ 4-5 ปีข้างหน้าก็น่าจะยังพอหวังได้อานิสงส์จากการที่ดัชนีหุ้นไทยถดถอยและนิ่งมานานหลายปี ประกอบกับการที่เม็ดเงินบาทของคนไทยที่ถูกเก็บสะสมมานานทยอยเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น สองสิ่งนี้ประกอบกับการที่เศรษฐกิจของไทยน่าจะกำลังฟื้นตัวจากวิกฤติโควิด-19 ผมจึงเชื่อว่า ดัชนีตลาดหุ้นน่าจะมีการปรับตัวขึ้นตามภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นโลกด้วย อย่างไรก็ตาม หลังจาก 4-5 ปีหรือดัชนีปรับตัวขึ้นไปจนถึงประมาณ 1,800 จุดซึ่งเป็นจุดที่เคยสูงสุดไปแล้ว เราก็คงต้องพิจารณาใหม่อีกครั้งหนึ่งสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย
คำแนะนำของผมในทางปฏิบัติสำหรับคนที่เลือกเส้นทางการลงทุนแบบนี้ก็คือ เราควรที่จะเลือกลงทุนในกองทุนรวมอิงดัชนีตลาดหรือ ETF ของตลาดเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดในการเลือกหุ้นเป็นรายตัว จัดสัดส่วนการลงทุนในแต่ละประเทศให้เหมาะสมหรืออาจจะเลือกลงทุนเท่า ๆ กันก็น่าจะได้ เพิ่มเงินเข้าไปในพอร์ตทุกครั้งที่มีเงินออมเหลือจากการทำงาน และสุดท้ายก็คือ ปรับพอร์ตทุกปีเพื่อไม่ให้พอร์ตบางประเทศใหญ่เกินจากสัดส่วนที่กำหนดไว้ ถือพอร์ตทั้ง 4 แห่งไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่ได้มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญในตลาดใดตลาดหนึ่ง ทำได้แบบนี้ผมเชื่อว่าในระยะเวลาอีก 10 ปีข้างหน้าเราน่าจะได้รับผลตอบแทนอย่างน้อย 7% แบบทบต้น ถ้าโชคดีอาจจะได้ถึง 10% และถ้าเรามีเม็ดเงินลงทุนมากพอ เช่น เก็บเงินออมได้ถึง 10-15% ของรายได้เพื่อนำไปลงทุน อนาคตทางการเงินของเราจะต้องสดใสแน่นอน
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ที่มาบทความ: https://blog.settrade.com/blog/nivate/2020/11/30/2423