และคนที่เป็น “ผู้ชนะ” ในเทคโนโลยีนี้ก็คือ Nvidia บริษัทที่บริษัทอื่น ๆ ที่ทำเกี่ยวกับ AI ต้องใช้สินค้าและบริการ ทำให้รายได้และกำไรของ Nvidia “โตระเบิด” ไตรมาศล่าสุดกำไรโตขึ้นถึง 7 เท่า ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นของ Nvidia ดีดตัวขึ้นจนกลายเป็นบริษัทที่มี Market Cap. สูงที่สุดในโลกและสูงกว่าหุ้นไมโครซอฟท์และหุ้นแอปเปิลที่ผลัดกันครองตำแหน่งที่ 1 ในช่วงเร็ว ๆ นี้
และแม้ว่าหลังจากนั้นหุ้น Nvidia จะลดลงบ้างแต่ก็ต้องถือว่านี่ก็คือหนึ่งในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในโลก และน่าจะมีโอกาสที่จะเติบโตต่อไปอีกหลาย ๆ ปีจน “ชนะขาด” เมื่อเทียบกับหุ้นเท็คยักษ์ใหญ่ทั้งหลายในช่วงปัจจุบันถ้าหากว่าบริษัทยังคงรักษาความเป็น “ผู้นำสูงสุด” ในธุรกิจ AI ได้
ในฐานะของคนที่สนใจลงทุนหุ้นแบบ “ซุปเปอร์สต็อก” ซึ่งต้องเป็นหุ้นที่เก่ง แข็งแกร่ง มีความสามารถในการแข่งขันที่เหนือกว่าคู่แข่งอย่างยั่งยืน อยู่ในธุรกิจที่กำลังโตในระยะยาวหรือเป็นเมกาเทรนด์ ผมจึงสนใจหุ้นที่เป็น “สุดยอด” ของหุ้นในตลาดที่ผมเข้าไปลงทุน และก็แน่นอนว่าผมมองหาหุ้นที่เป็นหุ้น “ซุปเปอร์สต็อกหมายเลข 1” หรือหุ้นที่ “ดีและยิ่งใหญ่ที่สุด” และถ้ามีโอกาสซื้อในราคาที่ผมคิดว่าคุ้มค่าหรือราคาถูก ผมก็จะซื้อและถือให้มากที่สุดที่จะรับได้
จุดเริ่มต้นของการวิเคราะห์เริ่มต้นจากการที่ต้องประเมิน ซึ่งเนื่องจากระยะเวลาที่ยาวไกล ก็จะต้องอาศัย “จินตนาการ” บ้างว่าประเทศเวียดนามจะเป็นประเทศแบบไหนในสังคมโลก? ยกตัวอย่างเช่น ประเทศอย่างฝรั่งเศสนั้น เป็นแนวแฟชั่นและความหรูหรา ญี่ปุ่นและไต้หวันเป็นประเทศไฮเทค สหรัฐเป็นซุปเปอร์เพาเวอร์หรืออภิมหาอำนาจของโลกที่เป็นทุกอย่าง และไทย ที่ผมมองว่าในอนาคตก็คงเป็น “แหล่งท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจของโลก”
สำหรับเวียดนามนั้น เดิมทีผมไม่ได้ตระหนักหรือคิดว่าในระยะยาวแล้ว ประเทศนี้จะเป็นอะไร ผมแค่คิดว่านี่คือประเทศที่จะโตเร็ว อานิสงส์จากการที่ยากจนมากจากภาวะสงครามในประเทศที่ดำเนินต่อเนื่องมายาวนาน
เศรษฐกิจที่โตเร็วระดับ 6-7% นั้น ก็น่าจะคล้ายประเทศไทยในช่วง 20-30 ปีก่อน ที่ทำให้คนรวยขึ้นและบริโภคมากขึ้นเรื่อย ๆ และในที่สุดก็จะมีบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับผู้บริโภคเติบโตขึ้นจนเอาชนะคู่แข่งได้เด็ดขาด มีรายได้และกำไรสูงมาก ส่งผลให้หุ้นปรับตัวขึ้นไปเป็นซุปเปอร์สต็อกหมายเลข 1 ได้ และนั่นก็คือเหตุผลที่ทำให้หุ้นอย่าง “วีนามิ้ลค์” ที่ขายนมและโยเกิร์ต เป็นหุ้นที่มีขนาด “ใหญ่ที่สุด” ในขณะนั้น
ต่อมาก็เริ่มเห็นหุ้นค้าปลีกโทรศัพท์มือถือที่ใหญ่ที่สุดคือ “โมบายเวิลด์” ที่เริ่มขยายไปขายอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและกลายเป็นรายใหญ่ที่สุดอีกเช่นกัน นอกจากนั้นก็ยังหันไปทำร้านเครือข่ายซุปเปอร์มาร์เก็ตแบบทันสมัยที่อาจจะกลายเป็นวิถีชีวิตใหม่ของคนเวียดนามที่เปลี่ยนไป และทั้งหมดนั้นก็ทำให้หุ้นโมบายเวิลด์ เป็นหุ้นที่อาจจะกลายเป็น “หุ้นหมายเลข 1” ได้ในสายตาของผม และผมก็ยอมซื้อหุ้นที่มีพรีเมียมสูงถึง 35% ในช่วงเวลานั้น
หลังจากเกิดโรคโควิด-19 เมื่อ 4-5 ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าสถานการณ์ต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปมาก รวมถึงประเทศเวียดนามเอง ที่เริ่มมีบทบาทโดดเด่นมากขึ้นในโลก อานิสงส์สำคัญจากสงครามการค้าและ “สงครามเย็น” ครั้งใหม่ ระหว่างสหรัฐกับจีนและรัสเซีย ซึ่งทำให้เวียดนามกลายเป็น “ฐาน” การผลิตที่สำคัญของฝ่ายสหรัฐและโลกเสรี เศรษฐกิจเวียดนามจึงถูกกระทบน้อยและน่าจะกำลังเริ่มเติบโตขึ้นใหม่ในระดับ 6-7% ต่อไปได้อีกเป็น 10 ปีขึ้นไป
การอ่อนตัวลงของการบริโภคในช่วงโควิด-19 เปิดเผยให้เห็นว่าการค้าและการบริโภคภายในประเทศนั้น อาจจะไม่ได้เป็น “หมายเลข 1” ของประเทศ หุ้นที่โดดเด่นในกลุ่มตกลงมาอย่างแรงแม้ว่าในภายหลังจะดีดตัวกลับได้ แต่หุ้นที่ยังเติบโตแข็งแกร่งกลับกลายเป็นหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำของประเทศคือ หุ้น FPT ที่รายได้และกำไรไม่ถูกกระทบและก็ยังโตในระดับ 20% อย่างต่อเนื่อง
ผมเองถือหุ้น FPT มานานแล้วในระดับที่มีนัยสำคัญ แต่เหตุผลที่ถือนั้นน่าจะเป็นเพราะว่าเป็นบริษัทที่มีกำไรสม่ำเสมอและมีราคาไม่แพง ค่า PE ประมาณ 12-13 เท่าถ้าผมจำไม่ผิด บริษัทมี Market Cap. ประมาณ 7-80,000 ล้านบาท ธุรกิจหลักของบริษัทก็คือการรับจ้างเขียนโปรแกรมให้กับบริษัทขนาดใหญ่ทั่วโลกโดยมีตลาดญี่ปุ่นเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด รองลงมาคือสหรัฐ ธุรกิจรองลงมาคือพวก IT และอินเทอร์เน็ตในประเทศ และการศึกษา ซึ่งก็คือมหาวิทยาลัยซึ่งเน้นการสอนด้านเทคโนโลยีเป็นหลัก
ผมไม่รู้ว่าการเติบโตของหุ้นเทคโนโลยีระดับโลกในช่วงเร็ว ๆ นี้ ที่หุ้นกลุ่ม Magnificent 7 ที่เป็นหุ้นเทคโนโลยีที่ “ครองโลก” ซึ่งรวมถึงหุ้นไมโครซอฟท์ แอ็ปเปิล Nvidia เป็นต้น ปรับตัวขึ้นมหาศาลและสามารถต่อต้านผลกระทบแม้แต่เรื่องของโรคโควิดได้นั้น จะมีส่วนทำให้หุ้น FPT ปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นตามกันหรือไม่
แต่หุ้น FPT ก่อนวิกฤติโควิด-19 ในปี 2562 มีราคาเพียงประมาณ 20,000 ดองหรือเกือบ 30 บาทต่อหุ้น ล่าสุดวันที่ 5 กรกฎาคม 67 ราคาอยู่ที่ 138,700 หรือประมาณ 200 บาท เท่ากับปรับตัวขึ้นประมาณ 6 เท่าหรือเพิ่มขึ้น 600% ในเวลา 5 ปี เฉพาะปีนี้ หุ้นปรับตัวขึ้นแล้วกว่า 60% พร้อม ๆ กับข่าวที่บริษัทอย่าง Nvidia มาร่วมมือทำธุรกิจแห่งอนาคตเช่น “AI Factory” ด้วยกัน และโครงการอื่น ๆ รวมถึงการออกแบบ Chip ที่จะทำให้ FPT และประเทศเวียดนามกลายเป็น “ประเทศไฮเทค” ในอนาคต
หุ้น FPT ในพอร์ตผมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าจะต้องจ่ายแพงกว่าปกติจากราคาตลาดเพราะหุ้นมี “Foreign Premium” มันกลายเป็นหุ้นที่ผมมีมากที่สุดในระดับกว่า 40% ของพอร์ตหุ้นเวียดนาม เพราะผมเริ่มสรุปว่า นี่อาจจะเป็น “หุ้นหมายเลข 1” ของเวียดนามในอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้า ว่าที่จริง ข้อมูลล่าสุดก็คือ หุ้นเวียดนามที่ใหญ่ที่สุดในช่วงนี้คือหุ้นแบ้งค์ VCB ที่มี Market Cap. ประมาณ 700,000 ล้านบาท อันดับ 2 คือหุ้นแบ้งค์ BID ที่ 390,000 ล้านบาท และอันดับ 3 ก็คือ หุ้น FPT ที่ 290,000 ล้านบาท
เหตุผลที่ผมสรุปว่า FPT มีโอกาสที่จะเติบโตกลายเป็นหุ้นอันดับหนึ่งในตลาดหุ้นเวียดนามในอีก 10 ปีข้างหน้านั้น เป็นเพราะประเทศเวียดนามนั้น มีศักยภาพที่จะเติบโตเป็นประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันทางด้านไฮเทคในอีกประมาณ 10 ปีข้างหน้า ว่าที่จริงในปัจจุบัน FPT ก็แข่งขันได้อยู่แล้วในเรื่องของการเขียนโปรแกรมและก็สามารถเติบโตได้เนื่องจากเวียดนามมีบุคลากรด้านนี้ค่อนข้างมากและยังผลิตเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ผ่านมหาวิทยาลัยของตนเอง
นอกจากนั้น เด็กเวียดนามมีการศึกษาที่ดีและเน้นในด้านของการเรียนในสายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากและมากกว่าประเทศที่อยู่ในระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจใกล้เคียงกันโดยเฉพาะในอาเซียนมาก เครื่องชี้วัดทุกด้านทางการศึกษารวมถึงนักศึกษาที่ไปเรียนต่อต่างประเทศของเวียดนามนั้นเหนือกว่าทุกประเทศยกเว้นสิงคโปร์ซึ่งเป็นประเทศพัฒนาแล้ว
ดังนั้น ผมเชื่อว่าอีก 10 ปีข้างหน้า เวียดนามน่าจะเป็นประเทศที่มีและใช้เทคโนโลยีในการทำมาหากินค่อนข้างมากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งนั่นก็ทำให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไปได้ไกลกว่าและจะไม่ติดกับดักคนชั้นกลางที่จะเกิดขึ้นกับหลายประเทศรวมถึงไทย และถ้าประเทศเวียดนามประสบความสำเร็จในด้านของเทคโนโลยี แน่นอนว่า FPT ก็จะต้องประสบความสำเร็จเช่นกัน เพราะ FPT วันนี้ แทบจะเป็น “เรือธง” ของเวียดนามในด้านการแข่งขันทางเท็คโนโลยีกับประเทศอื่น
แน่นอนว่าอีก 10 ปีเวียดนาคงไม่สามารถปรับตัวขึ้นมาแข่งขันกับบริษัทระดับโลกได้ แต่การที่จะ “เกาะกลุ่ม” อยู่ใน “Supply Chain” หรือใช้เทคโนโลยีที่ช้ากว่าบ้างก็น่าจะเป็นไปได้สูง และก็เช่นเดียวกัน อีก 10 ปี เวียดนามก็อาจจะหันไปทำอย่างอื่นเพิ่มขึ้นนอกเหนือจากการเขียนโปรแกรมขาย แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร FPT ก็น่าจะเป็นคนทำเสมอ
และทั้งหมดนั้นก็ไม่ได้เป็นการแนะนำให้ซื้อหุ้น เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ราคาหุ้น FPT ปรับตัวขึ้นมามหาศาลคล้าย ๆ กับหุ้น Magnificent 7 ที่คนเข้าไปซื้อในช่วงนี้อาจจะขาดทุนได้ง่าย
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร