สัปดาห์ก่อนเกิด “ปรากฏการณ์” ทางสังคมที่ “ประหลาด” ซึ่งทำให้เกิดความงงงวยโดยเฉพาะกับคน “รุ่นเก่า” ที่มักจะเป็นผู้สูงอายุ นั่นก็คือ เกิดกระแสในทวิตเตอร์ “#ย้ายประเทศกันเถอะ” เพราะมีคนตั้งกลุ่มในเฟซบุ๊กในชื่อเดียวกัน และหลังจากนั้นภายในเวลาไม่กี่วันก็มีสมาชิกเกือบล้านคนแล้ว คนที่เข้าไปเป็นสมาชิกของกลุ่มนี้ส่วนใหญ่แล้วเป็น “คนรุ่นใหม่” อายุน่าจะประมาณ 24-30 ปี บางส่วนก็ยังเป็นเด็กนักเรียนมัธยมอายุ 15-18 ปี พวกเขาตั้งกลุ่มและเข้าเป็นสมาชิกเพื่อหาข้อมูลและให้ความช่วยเหลือคนที่ต้องการย้ายไปอยู่ประเทศอื่นแบบ “ถาวร” หรือ “ยาวนาน” ด้วยเหตุผลที่ว่า ประเทศไทย “ไม่มีอนาคต” สำหรับ “คนรุ่นใหม่” ที่อายุยังน้อยและต้องการสร้างอนาคตที่ดีให้กับตนเอง ก่อนหน้านี้พวกเขาคือคนที่ประท้วงและเรียกร้องให้มีการปฏิรูปทางการเมืองและสังคมที่พวกเขาเห็นว่าไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่มีสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคและไม่ฟังเสียงของประชาชน พวกเขาเห็นว่า ด้วยระบบที่เป็นอยู่ ประเทศจะไม่พัฒนาและล้าหลังและคนที่จะรับผลอันนั้นในอนาคตก็คือพวกเขาเอง การเรียกร้องและ “ต่อสู้” ของพวกเขานั้น ดูเหมือนว่าจะไม่ได้รับการตอบรับอย่างสิ้นเชิง ตรงกันข้าม กลับถูก “ปราบปราม” จนหลายคน “สิ้นหวัง” และถอดใจจนเกิดความคิดใหม่ว่า ถ้าอย่างนั้น น่าจะย้ายไปอยู่ประเทศอื่นจะดีกว่า
การย้ายไปอยู่ต่างประเทศแบบถาวรหรือไม่มีกำหนดเรื่องระยะเวลากลับนั้น ไม่เหมือนกับการไปเรียนหรือการทำงานหาเงินและเก็บเงินเพื่อที่จะกลับมาอยู่เมืองไทยอย่างคนที่มีสถานะ มีเงิน และมีความก้าวหน้าขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การมีชีวิตที่มีความสุข นี่เป็นส่วนหนึ่งของ “ความฝัน” ซึ่งคน “ชั้นนำ” หรือคนที่ “มีศักยภาพสูง” ในสังคมไทยมีมาตลอดจนถึงเมื่อเร็ว ๆ นี้ ในคน “รุ่นเก่า” รวมถึงผมเองนั้น เราถูกปลูกฝังและเชื่อว่า “ไม่มีที่ไหนที่จะมีความสุขเท่าเมืองไทย” ทั้ง ๆ ที่เราไม่เคยไป “อยู่” ในประเทศอื่นเลย พอผมโตขึ้นและได้มีโอกาสไปเรียนหรือ “อยู่” ในสหรัฐอเมริกาประมาณ 4 ปี ผมก็รู้สึกว่า ที่จริงการอยู่ในอเมริกาก็มีความสุขเหมือนกับการอยู่ในเมืองไทย อย่างไรก็ตาม ผมก็กลับ “บ้าน” เมื่อเรียนจบเพราะความสามารถที่มีโดยเฉพาะด้านภาษาไม่ดีพอที่เขาจะจ้างให้ทำงานดี ๆ ได้ ผมไม่ดิ้นรนที่จะสู้เพื่อที่จะให้อยู่ในอเมริกาต่อไป ผมกลับบ้านเพราะคิดว่าประเทศไทยในปี 2528 หรือเมื่อประมาณ 36 ปีที่แล้วนั้น “มีอนาคต” และผมก็ “คิดถูก” เพราะผมเจริญก้าวหน้ามาตลอดตามการเจริญเติบโตและความก้าวหน้าของประเทศที่ดีขึ้นจนเป็นเป็น “ดารา” และเป็น “แบบอย่าง” ให้แก่ประเทศ “ล้าหลัง” ทั้งหลาย และนี่ก็รวมไปถึงเรื่องของประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพต่าง ๆ ที่แม้ว่าจะไม่เต็มร้อยแต่ก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ เทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน
ที่จริงหลังจากที่ผมกลับบ้านนั้น ประเทศไทยก็เริ่ม “เปิดประเทศ” โดยเฉพาะทางด้านการเงินและการลงทุนอย่างกว้างขวาง รวมถึงการ “เปิดเสรีทางการเงิน” ในปี 2533 ซึ่งทำให้ต่างชาติสามารถเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นได้อย่างสะดวก ผลจากการนั้นทำให้ดัชนีตลาดหุ้นขึ้นไปกว่า 4 เท่าในเวลา 3 ปีครึ่งคือจากประมาณ 200 จุดเป็น 1,100 จุด จากต้นปี 2530 –กลางปี 2533 ประเทศไทยมีความก้าวหน้าทุกด้าน ในด้านการเมืองนั้น ในปี 2531 พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ในฐานะ “นักการเมือง” และหัวหน้าพรรคการเมืองก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรี จากเดิมที่นายกมักจะต้องเป็นทหารหรือมาจากทหารเป็นหลัก นั่นเป็นความก้าวหน้าของประชาธิปไตย ในด้านของเศรษฐกิจ นั้น GDP ของไทยเติบโตเป็นเลข 2 หลักติดต่อกันถึง 3 ปี สุภาษิตของพลเอกชาติชายในช่วงนั้นก็คือ “จะเปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามการค้า” เพราะช่วงก่อนหน้านั้นเรามีปัญหาการสู้รบกับประเทศเพื่อนบ้าน อนาคตของไทยสดใสมากเสียจนเกิดความคิดและมีการรณรงค์ให้คนไทยที่ “ย้ายประเทศ” ไปอยู่ประเทศก้าวหน้าเช่นอเมริกาให้เดินทางกลับมาอยู่และทำงานในประเทศไทยในชื่อโครงการ “สมองไหลกลับ” อย่างไรก็ตาม หลังจากพวกเขาเดินทางกลับมา “ดูลาดเลา” และพบกับความเป็นจริงโดยเฉพาะระบบต่าง ๆ ของ “รัฐไทย” แล้ว พวกเขาก็เลิกล้มความตั้งใจ ทุกวันนี้ผมก็ยังเห็นเพื่อนที่เป็นอาจารย์ในสหรัฐบางคนกลับมาเยี่ยมเยือนและสอนคอร์สเป็นครั้ง ๆ แต่เขาไม่พูดเรื่องกลับมาอยู่ประเทศไทยอีกเลยแม้ว่าอายุจะใกล้ 70 ปีแล้ว
ประเทศไทยคงจะยังมีอนาคตและเป็นที่ ๆ “อยู่แล้วมีความสุขที่สุด” ในสายตาของคนไทยโดยเฉพาะที่เป็นคนชั้นนำหรือคนที่มีศักยภาพจนถึงอย่างน้อยปี 2549 หรือ 15 ปีมาแล้ว นั่นเพราะว่าปีนั้นเป็นปีที่หนังสือชื่อ “ความสุขของกะทิ” เขียนโดย งามพรรณ เวชชาชีวะ ได้รับรางวัลซีไรต์ หนังสือพรรณนาถึงความสุขของเด็กหญิงอายุ 9 ขวบชื่อกะทิที่มีครอบครัวเป็น “คนชั้นนำ” แต่ได้ใช้ชีวิตในพื้นเพชนบทที่งดงาม “โรแมนติก” และทั้ง ๆ ที่มีแม่ที่เจ็บป่วยอย่างหนักจนเสียชีวิตแต่ก็มีความสุขแบบไทย ๆ ที่อยู่รวมกันเป็นครอบครัวตั้งแต่ตายายพี่ป้าน้าอาทุกคนใช้ชีวิต “อย่างพอเพียง” และเต็มไปด้วยความรัก คนที่อายุไล่ ๆ กับผู้เขียนและเป็นคนชั้นนำหรือมีศักยภาพที่จะเป็น ถ้ามาอ่านและรำลึกถึงภาพเก่า ๆ แบบนี้ก็คงจะรู้สึกได้ถึง “ความสุข” ของการอยู่ในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าคนไทยทั่ว ๆ ไปโดยเฉพาะที่อาศัยอยู่ในชนบทมาก่อนจะรู้สึกแบบนั้นหรือไม่โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงว่าช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมานั้น คนชนบทโดยเฉพาะที่เป็นคนหนุ่มสาวต่างก็ “ย้ายเข้าเมือง” แสวงหา “อนาคต” กันจนแทบจะทำให้ชนบทร้างเหลือแต่คนแก่และเด็กเล็กอย่างในปัจจุบัน
ความสุขและความฝันของคนไทยรุ่นใหม่หรือรุ่นหนุ่มสาวในวันนี้คงจะเปลี่ยนไปมากอานิสงส์จากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการแพร่กระจายของข่าวสารข้อมูลผ่านระบบอินเตอร์เน็ตที่ทำให้โลกไร้พรมแดนทำให้คนไทยได้เห็นและเรียนรู้จากคนอื่นทั่วโลก ความคิดและวัฒนธรรมใหม่ ๆ ที่คนไทยรุ่นก่อนไม่เห็นด้วยไม่คุ้นเคยและไม่เคยถูกสอนให้รู้จักหรือถูกบอกว่าไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสมกับสังคมไทย กลายเป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่เห็นชอบสมาทาน ความเชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษบุญบารมีชาติก่อนที่กำหนดให้คนแต่ละคนได้ดีมีอำนาจบารมีในชาตินี้ไม่เป็นที่ยอมรับ ความ “งดงาม” ของสังคมที่มีชนชั้นลดหลั่นกันไปและทุกคนรู้ในบทบาทหน้าที่ของตนเองเสมือนดังร่างกายที่ต้องมีหัวใจมีสมองมีมือมีเท้ามีนิ้วหรือมีเส้นผมนั้นไม่เป็นที่ยอมรับ คนรุ่นใหม่เชื่อว่าทุกคนควรที่จะสามารถมีความคิดและความเชื่อเป็นของตนเองและทำตามสิ่งนั้นได้โดยไม่ควรมีใครมาบังคับ สิทธิมนุษยชนนั้นเป็นสิ่งที่มีค่าสูงสุด ทุกคนต้องมีความเท่าเทียมกันตามกฎหมายและการตัดสินอะไรที่เกี่ยวกับส่วนรวมจะต้องเป็นแบบ “ประชาธิปไตย” คือ 1 คนก็มี 1 สิทธิในการโหวต เป็นต้น และด้วยวิธีการแบบนี้โลกหรือประเทศก็จะอยู่กันอย่างสงบและมีความก้าวหน้า คนที่อยู่ในสังคมก็จะ “มีอนาคต” ที่ดีและมีความสุข
“ความฝัน” ของคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะที่เป็น “คนชั้นนำ” หรือคนที่มีศักยภาพสูง ซึ่งผมอยากจะตั้งชื่อเลียนแบบ “ความสุขของกะทิ” ก็คือ “ความฝันของ(หัว)กะทิ” ก็คือ การเปลี่ยนแปลงสังคมให้ตอบสนองกับ “โลกใหม่” ของพวกเขาเพื่อที่ว่าพวกเขาจะสามารถอยู่ในประเทศที่ทำให้พวกเขาก้าวหน้าและมีความสุข พวกเขาเห็นว่าสิ่งที่เป็นอยู่และที่กำลังจะเป็นต่อไปนั้น เป็นสิ่งที่ “กดขี่” เอารัดเอาเปรียบและฉ้อฉลโดยที่ไม่มีใครทำอะไรได้ ครั้นพวกเขาพยายามที่จะทำก็ถูกปราบปรามลงโทษ ดังนั้น พวกเขาจึงต้องการย้ายไปจากสังคมแบบนี้ และด้วยสถานการณ์ของโลกที่เปลี่ยนไป ประเทศที่ก้าวหน้าขาดแคลนแรงงานเพราะคนเกิดน้อยลงและประชากรแก่ตัวลงจึงต้องการแรงงานโดยเฉพาะที่มีคุณภาพจากต่างประเทศ นี่จึงทำให้กลุ่มเฟซบุ๊กย้ายประเทศเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและทำให้คนที่มีหน้าที่บริหารประเทศรวมถึงนักลงทุนอย่างผมต้องจับตามอง เพราะนี่อาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นในระยะยาวได้อย่างรุนแรง
สำหรับผมแล้ว ปรากฏการณ์อยากย้ายประเทศของคนรุ่นใหม่นั้น เป็นเพียงอีกอาการหนึ่งของปัญหาที่ยิ่งใหญ่ของประเทศไทยที่เริ่มเห็นชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่ 6-7 ปีก่อน เริ่มตั้งแต่การเกิดที่น้อยลงและคนที่แก่ตัวลงอย่างรวดเร็วทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจต่ำลง สิ่งนี้ประกอบกับระบบการปกครองประเทศที่ค่อนข้างจะล้าหลังทำให้ไม่สามารถปรับตัวเพื่อที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจให้ดีขึ้นได้ โควิด-19 ทำให้คนตกงานและทำให้ปัญหาเศรษฐกิจหนักขึ้นไปอีกและนี่ส่งผลกระทบกับคนรุ่นใหม่อย่างแรง “อนาคต” สำหรับพวกเขา “มืดมน” วิธีที่จะนำอนาคตของพวกเขากลับมาก็คือ “ต่อสู้” เพื่อให้เกิดการปฏิรูปทางการเมืองเพื่อที่จะได้ฟื้นฟูเศรษฐกิจ หรือไม่ก็ “หนี” ไปหาอนาคตในประเทศใหม่ที่สดใสกว่า ผมเองก็ไม่รู้ว่าถ้าผมยังเป็นหนุ่มอยู่ ผมจะเลือกแบบไหน แต่ถ้าเป็นเรื่องของการลงทุน ผมคิดว่าคนจำนวนไม่น้อยรวมทั้งผมเองได้เริ่ม “ย้ายประเทศลงทุน” กันไปแล้ว เพราะนักลงทุนนั้นเป็น “นักเลือก” ไม่ค่อยอยากเป็น “นักสู้” โดยเฉพาะถ้าคิดว่าจะแพ้
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ที่มาบทความ: https://blog.settrade.com/blog/nivate/2021/05/10/2503