ลงทุนในธุรกิจที่กำลังถูก Disrupt

ตั้งแต่กระแส Disruption หรือการทำลายล้างธุรกิจดั้งเดิมโดยเทคโนโลยีใหม่ที่อิงกับดิจิตอลเกิดขึ้นเต็มที่ทั่วโลก เราก็ได้เห็นหลาย ๆ ธุรกิจหรือหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหลาย ๆ ตัวตกต่ำลงแทบจะเป็น “หายนะ” การที่หุ้นตกลงมาครึ่งหนึ่งของจุดสูงสุดเป็นเรื่องปกติ บางกลุ่มหรือบางตัวตกลงมาเหลือแค่ 10% เจ้าของซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่บางคนนั้นเปลี่ยนสถานะจากมหาเศรษฐีกลายเป็นเศรษฐีธรรมดา หลายคนจากเศรษฐีก็เหลือแค่เป็นคนรวยธรรมดา ๆ คนหนึ่งในเวลาเพียงไม่กี่ปี คนที่ลงทุนในหุ้นที่ถูกหรือกำลังถูก Disrupt นั้นต่างก็ขายหุ้นหนีตาย หุ้นถูกหลีกเลี่ยงโดยนักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็นนักลงทุน “ผู้รอบรู้” หรือเป็น “VI” ไม่ว่าราคาจะตกลงมาเท่าไร ครั้นจะสวิทซ์หุ้นจากหุ้นที่ถูกหรือกำลังถูก Disrupt เป็นหุ้นที่กำลัง Disrupt คนอื่น ก็หาไม่ได้ในตลาดหุ้นไทย ต้องไปลงทุนข้ามประเทศในตลาดใหญ่อย่างอเมริกาหรือจีน ซึ่งยังมีอุปสรรคไม่น้อย แถมราคาหุ้นก็ดูเหมือนว่าจะแพงมาก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ตนเองอาจจะยังมีความรู้หรือความเข้าใจไม่พอว่าควรจะเข้าตอนไหน

แต่สำหรับผมแล้ว “ในวิกฤติก็มีโอกาสเสมอ โดยเฉพาะในตลาดหุ้น” ข้อแรกก็คือ มันจะต้องวิกฤติก่อน แล้วเราถึงจะหาโอกาส ความหมายของผมก็คือ มองหาหุ้นที่ราคาตกลงมามากจน “ถูกมาก” ซึ่งคำว่าถูกมากนี้ต้องวัดด้วยมาตรวัดทุกค่า เช่น ค่า PE PB Dividend Yield และ Market Cap. หรือรวมถึงตัวอื่น ๆ ที่อาจจะใช้ได้ ถ้าค่าทุกค่านั้นบ่งบอกว่าหุ้นมีราคา “ถูกมาก” อย่างที่ “ไม่เคยปรากฏมาก่อน” แบบนี้ก็ชัดเจนว่าหุ้นกำลัง “วิกฤติ” อย่างไรก็ตาม ถ้ามีค่าบางตัว เช่น ค่า PE อาจจะไม่ต่ำ หรืออาจจะติดลบเลย แต่เป็นเหตุการณ์เฉพาะครั้งเดียว หุ้นก็ยังสามารถพูดได้ว่าถูกมาก วัดจากตัวเลขอื่น ๆ ได้ โดยเฉพาะจากค่า Market Cap. หรือมูลค่าหุ้นทั้งหมดของบริษัทเทียบกับที่เคยเป็นมา

“โอกาส” ที่อาจจะเกิดขึ้นก็คือ ธุรกิจหรือหุ้นที่คนคิดว่าถูก Disrupt หรือกำลังถูก Disrupt นั้น ไม่ถูก Disrupt จริง หรือถูก Disrupt แค่บางส่วน หรือใช้เวลานานมากก่อนที่มันจะถูกทดแทนได้ทั้งหมดซึ่งทำให้ธุรกิจยังคงหากินหรือทำกำไรได้ไปอีกนานและคุ้มที่จะลงทุน ถ้าเราเจอหุ้นแบบนี้ที่มีราคาตกลงมามากเกินไป มันก็อาจจะเป็นโอกาสที่เราจะเข้าไปลงทุนและทำผลตอบแทนทบต้นได้ดีพอ เช่น 10-15% ต่อปีต่อเนื่องไปอีกซัก 10 ปี เป็นต้น

การวิเคราะห์เพื่อหาซีนาริโอว่าหุ้นที่ตกลงมามากจากความกลัวว่ามันจะถูก Disrupt จะเป็นแบบไหนจริง ๆ นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายนักและจะต้องคำนึงถึงเรื่องของท้องถิ่นหรือสถานที่ตั้งของธุรกิจซึ่งส่วนใหญ่ก็คือประเทศไทยด้วย และต่อไปนี้ก็คือธุรกิจบางอย่างที่ผมมอง

หุ้นแบ้งค์ขนาดใหญ่ที่ให้บริการการเงินทุกรูปแบบนั้น ผมคิดว่ากำลังถูก Disrupt บางส่วนโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการโอนเงินและแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ รายได้และกำไรคงหายไปอย่างมีนัยสำคัญแต่ธุรกิจอื่น เช่น การปล่อยสินเชื่อหากินจากส่วนต่างของดอกเบี้ย การบริหารเงินและบริหารความเสี่ยงให้ลูกค้า การขายประกันและผลิตภัณฑ์ทางการเงินการลงทุน ก็ยังน่าจะอยู่ไปอีกนาน นอกจากนั้น ธนาคารยังสามารถลดต้นทุนของการให้บริการโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ต้องใช้คนและสาขาลงได้ไม่น้อยเมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้น แบ้งค์โดยรวมจึงน่าจะยังไม่ถูก Disrupt และผมคิดว่าการที่หุ้นแบ้งค์หลาย ๆ ตัวตกลงมาแรงนั้น น่าจะเป็น “โอกาส” ในการลงทุน อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้อาจจะมีประเด็นเรื่องของภาวะเศรษฐกิจที่ทำให้เกิดหนี้เสียมากขึ้นและความต้องการสินเชื่อลดลง ซึ่งก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่อาจจะต้องพิจารณาร่วมด้วย

ธุรกิจ “สื่อดั้งเดิม” ทั้งหลายซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงทีวี หนังสือพิมพ์ สื่อนอกบ้าน ผมคิดว่า ถูก Disrupt อย่างรวดเร็วและยังไม่จบ ราคาหุ้นที่ตกลงมานั้นเรียกว่าเป็นวิกฤติระดับ “หายนะ” คนจำนวนมากยังทยอยเลิกดูทีวี หนังสือพิมพ์ วารสารต่าง ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ผมเองที่เคยติดละครหลังข่าวบนจอทีวีนั้น ก็เพิ่งจะเลิกเปิดทีวีไปหลายเดือนแล้วตามภรรยาซึ่งเลิกดูละครผ่านทีวีแต่หันไปดูในไอแพดแทน ดังนั้น หุ้นในกลุ่มนี้ที่ตกลงมามากเป็นวิกฤติแต่โอกาสที่จะซื้อลงทุนก็อาจจะไม่เกิด ราคาที่ลงไปนั้น อาจจะเหมาะสมกับธุรกิจที่ค่อย ๆ ลดค่าลงไปเรื่อย ๆ และไม่รู้ว่าจะหยุดเมื่อไร

ห้างค้าปลีกแบบมีหน้าร้านโดยเฉพาะที่เป็นช็อบปิ้งมอลขนาดใหญ่นั้น ราคาหุ้นก็ลงมาบ้างเหมือนกันแต่ไม่มากขนาดเป็นหายนะ แม้ว่ากำไรจะโตช้าลงมากหลายคนก็ยังคิดว่าหุ้นในกลุ่มนี้ยังน่าสนใจลงทุน คำถามสำคัญก็คือ ห้างแบบนี้ในประเทศไทยในที่สุดจะค่อย ๆ ตกต่ำลงเพราะถูก Disrupt จากการค้าขายผ่านทางอินเตอร์เน็ตแบบที่เกิดขึ้นในประเทศพัฒนาแล้วอย่างในอเมริกาหรือไม่? นอกจากนั้น ธุรกิจอย่างการขายอาหารที่มีหน้าร้านก็ดูเหมือนว่ากำลังถูกท้าทายโดยการขายอาหารแบบดีลิเวอร์ลี่ผ่านแอ็ปต่าง ๆ สุดท้ายภัตตาคารจะแย่หนักไหม?

คำตอบเรื่องนี้คงต้องดูเป็นธุรกิจหรือผลิตภัณฑ์ไป กลุ่มแรกพวกเมกาสโตร์ ที่ขายสินค้าทั่วไปที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ผมคิดว่ากำลังถูก Disrupt อย่างช้า ๆ เมื่อคนเริ่มสั่งของจากที่บ้านและพบว่ามีความสะดวกสบายมากขึ้นเรื่อย ๆ อานิสงส์จากความก้าวหน้าของการทำโลจิสติกส์ที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น คนมีเหตุผลที่จะต้องไปซื้อที่ห้างน้อยลง การเติบโตของยอดขายจะน้อยลงจนอาจจะถึงกับติดลบก็เป็นไปได้ อย่างไรก็ตาม ห้างคง “ไม่ตายแต่ไม่โต”

ธุรกิจทำห้างให้เช่าแบบสรรพสินค้านั้น บางคนบอกไม่ถูกกระทบเพราะรับค่าเช่าจากคนขายของ แต่ถ้าคนขายของได้น้อยลง ค่าเช่าที่จะจ่ายได้ก็ต้องลดลงหรือเพิ่มขึ้นไม่ได้ จริงอยู่ คนไทยนั้นอาจจะยังต้องการเดินห้างอยู่เนื่องจากมันเย็นสบาย มีแหล่งบันเทิงและทำธุรกรรมต่าง ๆ เช่น การเงิน รวมถึงกินอาหารภัตตาคารในห้าง ส่วนการซื้อสินค้านั้นเขาอาจจะทำน้อยลงเนื่องจากการทำผ่านอินเตอร์เน็ตสะดวกกว่า มีแบบสินค้าให้เลือกมากกว่าและราคาถูกกว่า ดังนั้น ธุรกิจทำห้างให้เช่าจึงอาจจะมีกำไรหรือเติบโตไม่เหมือนเดิม ราคาหุ้นไม่ควรจะแพงอย่างที่เคยเป็น

ร้านขายสินค้าเฉพาะกลุ่มหรือเฉพาะอย่าง เช่น สินค้าปรับปรุงและตกแต่งบ้านนั้น ผมคิดว่าเนื่องจากสินค้ามีความหลากหลายมากทั้งราคา รูปแบบ ความถี่ในการใช้ ทำให้ผู้บริโภคต้องการ “ดูของจริง” มากกว่าจะดูจากภาพ และบ่อยครั้งเป็นการซื้อหลายอย่างพร้อม ๆ กันและมีมูลค่าค่อนข้างสูง ดังนั้น คนซื้อจึงอยากจะไปซื้อที่ร้านมากกว่าสั่งจากอินเตอร์เน็ต ดังนั้น ผมคิดว่าคงยังห่างจากการถูก Disrupt พอสมควร กลุ่มที่สองคือสินค้าอิเล็กโทรนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหลาย นี่คือสินค้าที่อาจจะถูก Disrupt ได้ง่ายเนื่องจากมันเป็นสินค้าที่เป็นมาตรฐานเหมือนกันและมียี่ห้อและรุ่นไม่มากนัก การเลือกผ่านอินเตอร์เน็ตทำได้ง่าย อย่างเดียวที่ดูเหมือนว่าหลายคนก็ยังอยากไปซื้อที่ร้านก็เพราะว่ามันเป็นสินค้าที่มีราคาสูง ยอมเสียเวลาไปดูซักหน่อยและได้รับบริการการอธิบายการใช้งานก็อาจจะยังคุ้มค่า อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่จะถูก Disrupt และอาจจะเกิดขึ้นเร็วนั้นมีพอสมควร เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ คนที่พยายามขายผ่านอินเตอร์เน็ตนั้น อาจจะรวมไปถึงเจ้าของผลิตภัณฑ์หรือบริษัทขนาดใหญ่ที่สามารถสร้างระบบที่มีประสิทธิภาพสูงและแข่งขันกับห้างที่มีหน้าร้านได้

ธุรกิจขนาดใหญ่สุดท้ายที่น่าสนใจมากเพราะราคาหุ้นตกลงมาจนน่าจะเป็นวิกฤติแล้วก็คือ ธุรกิจพลังงานโดยเฉพาะถ่านหินและน้ำมันซึ่งพูดกันว่ากำลังถูก Disrupt จากพลังงานสะอาดและการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ความคิดของผมก็คือ นี่คือธุรกิจที่ผู้ใช้นั้นเป็นโรงงาน (โรงไฟฟ้า) หรืออุปกรณ์ (รถยนต์) ที่มีอายุยืนยาวและมีจำนวนมากมาย ดังนั้น การเปลี่ยนหรือทดแทนถ้าจะเกิดขึ้นก็จะเป็นไปอย่างช้า ๆ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ เทคโนโลยีใหม่ก็ยังไม่ได้เหนือกว่าเทคโนโลยีเก่าในทุกด้านโดยเฉพาะราคาและความสม่ำเสมอและประสิทธิภาพของการทำงานทำให้การ Disrupt เป็นไปอย่างช้า ๆ ผมคิดว่าอย่างน้อยคงต้องเป็น 10 ปีขึ้นไปก่อนที่ธุรกิจจะมีปัญหาอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ นี่ทำให้ราคาของสินค้าโดยเฉพาะที่เป็นต้นน้ำถูกกระทบในด้านลบได้ค่อนข้างแรงเมื่อความต้องการลดลงแม้เพียงเล็กน้อย

ยังมีธุรกิจอีกมากที่เราจะต้องวิเคราะห์ผลกระทบของ Disruption ว่าที่จริงในระยะหลัง ๆ นี้ แทบไม่มีธุรกิจไหนที่จะหลีกเลี่ยงผลกระทบจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีอย่างแท้จริง ดังนั้น นักลงทุนจะต้องคิดและคำนึงถึงอยู่เสมอเมื่อจะลงทุนซื้อขายหุ้น

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ที่มาบทความ: https://portal.settrade.com/blog/nivate/2020/01/27/2270

TSF2024