นาทีนี้คนที่ชอบเล่นหรือซื้อหุ้นดิจิตอลหรือไฮเท็คในต่างประเทศแทบทุกคนน่าจะต้องรู้จัก “ARK ETF” ที่บริหารโดย Cathie Wood นักบริหารกองทุนรวมที่ “ร้อนแรงที่สุด” ในช่วงนี้ เหตุผลก็เพราะว่าผลงานการบริหาร ETF ที่เน้นลงทุนในหุ้นที่เป็นบริษัทไฮเท็คและดิจิตอลที่จะ “เปลี่ยนแปลงโลก” ของเธอหลายกองทุนนั้น ต่างก็สร้างผลงานที่โดดเด่นมากและอยู่ระหว่าง 100 ถึง 200% ต่อปีในปี 2563 ที่ผ่านมา และนั่นทำให้กองทุนที่เป็น ETF ของบริษัท ARK Invest เติบโตขึ้นมหาศาลจากประมาณ 3.5 พันล้านเหรียญหรือ 1 แสนล้านบาทไทย เพิ่มขึ้นเป็น 41.5 พันล้านเหรียญหรือ 1.2 ล้านล้านบาทไทย หรือเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่าภายในเวลาเพียงปีเดียว อานิสงส์จากนักลงทุนทั่วโลกรวมถึงไทยที่แห่กันเข้าไปลงทุนใน ETF ของบริษัท
คำเตือนของผมสำหรับคนที่เข้าไปลงทุนใน ETF นี้ก็คือ อย่าคาดหวังว่ามันจะดีเหมือนเดิมหรือแม้แต่จะดีมาก ๆ สำหรับปี 2564 และปีต่อ ๆ ไป เหตุผลเพราะว่าปี 2563 นั้นเป็นปีที่ดีมากสำหรับหุ้นไฮเท็คโดยเฉพาะขนาดเล็กลงมาหน่อยอย่างหุ้นเทสลาที่ ARK ถือไว้มากและหุ้นวิ่งขึ้นมามหาศาลเป็น 10 เท่า เช่นเดียวกับหุ้นไฮเท็ค “เปลี่ยนโลก” อื่น ๆ ที่เติบโตขึ้นอานิสงส์จากโควิด-19 ที่เร่งกระบวนการเปลี่ยนแปลง รวมถึงการที่สภาพคล่องทางการเงินที่สูงลิ่วทำให้เกิดการเก็งกำไรมหาศาลในตลาดของหุ้นกลุ่มนี้ ผลก็คือ หุ้นใน ETF ของ ARK ทำผลงาน “ทะลุโลก” แต่ทั้งหมดนี้อาจจะเปลี่ยนแปลงไปได้เสมอและอย่างรวดเร็วในปีต่อ ๆ ไป เฉพาะอย่างยิ่ง สภาพคล่องทางการเงินที่อาจจะตึงตัวขึ้นเห็นได้จากผลตอบแทนของพันธบัตรระยะยาว 10 ปีของอเมริกาที่เพิ่มขึ้นแรงอย่างน่ากลัวในช่วง 2-3 วันนี้ เนื่องจากคนคาดว่าโควิด-19 กำลังจะผ่านไปและเศรษฐกิจจะกลับมาโตร้อนแรงหลังโควิด ซึ่งจะทำให้หุ้นเศรษฐกิจเก่ากลับมาแต่หุ้นไฮเท็คจะ “ปรับฐาน” จากที่ราคาร้อนแรงเกินไป
อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ ARK ETF อาจจะไม่สามารถสร้างผลงานที่โดดเด่นเหมือนเดิมได้ก็คือการที่มัน “ใหญ่เกินไป” ซึ่งทำให้คนบริหารต้องกระจายการลงทุนและถือหุ้นขนาดใหญ่มากขึ้น ไม่สามารถที่จะเล่นหุ้นตัวเล็กที่มักจะวิ่งได้เร็วและมากกว่า ในกรณีของ ARK เองนั้น ผมเคยฟังการสัมภาษณ์ของ เคที่ วูดแล้วก็รู้สึกว่าเธอ “เล่นหุ้น” ค่อนข้างมาก ความหมายก็คือ ซื้อมา-ขายไปเร็ว มีการ “เก็งกำไร” สูง การซื้อหุ้นตัวเล็กและมีสภาพคล่องต่ำในลักษณะ “Corner” หุ้น เป็นสิ่งที่เธอชอบ เพราะมันสามารถ “ลาก” หุ้นขึ้นไปได้สูงมาก พูดง่าย ๆ สิ่งที่ ARK ทำนั้น คล้าย ๆ กับ “นักลงทุนขาใหญ่” ชอบทำกัน เวลาซื้อหรือขายหุ้นตัวไหนก็จะ “เปิดเผย” ต่อสาธารณะโดยบอกว่าเป็นการแสดงถึงการมี “ธรรมาภิบาลที่ดี” แต่ในอีกด้านหนึ่งก็เป็นการ “โฆษณา” หุ้น ซึ่งอาจจะทำให้คน “แห่เข้ามาซื้อตาม” ผลก็คือ ราคาหุ้นวิ่งขึ้นมากผิดปกติได้
ทั้งหมดนั้นมาถึงข้อสรุปในการเลือกกองทุนรวมหรือ ETF ข้อแรกของผมก็คือ อย่าซื้อกองทุนรวมที่มีผลงานดีมาก ๆ ในอดีต เพราะประวัติศาสตร์บอกเราว่า กองทุนรวมที่มีผลงานดีในอดีตนั้น มักจะไม่ได้หมายความว่าอนาคตจะดีด้วย และกองทุนที่ผลงานแย่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะแย่ตลอด ตรงกันข้าม กองที่ผลงานในอดีตดี ผลงานในอนาคตก็มักจะแย่ลง และกองทุนที่แย่ โดยเฉลี่ยแล้วในอนาคตก็จะดีขึ้น กลายเป็นว่า ที่ผลงานดีนั้น จริง ๆ ส่วนใหญ่แล้วอาจจะไม่ใช่ “ฝีมือ” ของผู้บริหาร แต่เป็นเรื่องของ “โชค” มากกว่า ในขณะที่ขนาดของกองทุนก็มีส่วนมากที่ทำให้สามารถสร้างผลงานที่ดีมากแบบสุดโต่งได้ และเพราะว่าโชคนั้น มักจะไม่เกิดซ้ำ ๆ ติดต่อกันยาวนาน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่ากองทุนที่มีผลงานที่ดีในที่สุดก็จะแย่ลงและ “โชค” กลับไปอยู่ในมือของคนที่มีผลงานแย่ในอดีต
วิธีการเลือกกองทุนรวมข้อที่ 2 ก็คือ อย่าเชื่อว่าผู้บริหารกองทุนเป็น “เซียน” ที่จะสามารถสร้างผลตอบแทน “เหนือโลก” ได้ยาวนาน เคที่ วูด เองนั้นเพิ่งจะก่อตั้งและบริหารกองทุนหรือ ETF ของ ARK มาแค่ 7 ปี ซึ่งในแง่ของการลงทุนต้องถือว่าสั้นมากและไม่สามารถที่จะพิสูจน์อะไรได้ ในขณะที่ วอเร็น บัฟเฟตต์ นั้น บริหารเงินลงทุนมากว่า 60 ปี ซึ่งน่าจะต้องถือว่าไม่มีคำว่า “ฟลุ้ก” และแม้แต่บัฟเฟตต์เอง ถ้าศึกษาให้ดีก็จะพบว่า ผลงานการลงทุนในช่วง 30 ปีหลังนั้นก็ไม่ได้น่าประทับใจอะไรและแพ้ดัชนีตลาดด้วยซ้ำ ดังนั้น สำหรับผมแล้ว เคที่ วูด น่าจะยังไม่สามารถถูกบันทึกว่าเป็น “เซียน” ในระดับมือต้น ๆ ของโลกได้ และนี่ก็คือ Dilemma หรือปัญหาของการเลือกผู้บริหารกองทุนที่ว่า ไม่รู้ว่าเป็นเซียนจริงไหม จะรู้ก็ต่อเมื่อเวลามันอาจจะผ่านไปแล้วนานเป็นสิบ ๆ ปีขึ้นไป
ข้อที่ 3 ของกลยุทธ์การเลือกกองทุนรวมสำหรับผม ก็คือ การตั้งสมมติฐานว่า ผู้บริหารกองทุนรวมทั้งหลายนั้น มีฝีมือเท่ากันและเป็นฝีมือระดับ “เฉลี่ย” หรือกลาง ๆ โดยไม่สนใจว่ากองไหนใครบริหารและได้กี่ “ดาว” ดังนั้น เวลาเลือกกองทุนที่จะลงทุนจะต้องดูเรื่องของ “ราคา” หรือค่าธรรมเนียมในการบริหารกองทุนด้วย อย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะถ้าค่าบริหารต่างกัน 1-2% แต่สุดท้ายผลงานในระยะยาวก็เท่ากัน กองทุนที่ค่าบริหารต่ำกว่าก็จะให้ผลตอบแทนคิดเป็นเม็ดเงินสูงกว่ามากในช่วงเวลาเป็น 10 ปีขึ้นไป และข้อสรุปของข้อนี้ก็จะนำไปสู่ข้อที่ 4 ที่ว่า
การเลือกลงทุนในกองทุนรวมที่อิงดัชนีที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ เป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง ซึ่งในปัจจุบันก็ยังมีดัชนีหลาย ๆ แบบให้เลือก เช่น ดัชนี “ตลาดหุ้น” เช่น S&P 500 หรือ SET50 หรือดัชนีหุ้นไฮเท็กที่มักอยู่ในตลาด Nasdaq นอกจากนั้นแล้วก็น่าจะมีที่เป็นแบบ Sector เช่นในกลุ่มของหุ้นเกี่ยวกับสุขภาพและดิจิตอล เป็นต้น การลงทุนในหุ้นที่อิงดัชนีนั้นมีข้อดีที่ว่าไม่ต้องมีผู้บริหารที่จะมาเลือกหุ้น ดังนั้น ค่าธรรมเนียมก็จะต่ำและผลงานก็จะอิงกับหุ้นหลัก ๆ ในดัชนีนั้น และทั้งหมดนั้นก็มักจะรวมถึง ETF ที่อิงกับดัชนีด้วย
คนอาจจะมีความรู้สึกว่าการลงทุนในกองทุนรวมหรือ ETF ที่อิงดัชนีนั้น จะทำผลงานที่ดีได้อย่างไร? เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ผลตอบแทนที่ได้ก็เป็นแค่ “ผลตอบแทนเฉลี่ย” ของหุ้นในดัชนี โอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่ “ดีเลิศ” ก็เป็นไปไม่ได้ แต่ข้อถกเถียงของผมก็คือ การทำได้เท่าค่าเฉลี่ยในตลาดหุ้นที่มีประสิทธิภาพสูงมากนั้น ก็เป็นสิ่งที่ดีพอแล้ว ผมยังจำได้ถึงหนังสือเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า “Average is the New Awesome” หรือ “การทำได้เท่าค่าเฉลี่ยก็คือสิ่งที่ยอดเยี่ยมใหม่ในภาวะปัจจุบัน” อย่าลืมว่าในวงการนักลงทุนนั้นเต็มไปด้วย “เซียน” หรืออย่างน้อยก็คนเรียนจบมหาวิทยาลัยดัง ๆ ของโลก ถ้าเราทำได้ดีในระดับกลาง ๆ เราก็สุดยอดแล้ว อย่างไรก็ตาม การทำผลตอบแทนได้ดีนั้น ไม่ใช่แค่ทำให้ได้เท่าค่าเฉลี่ย แต่เราต้องทำได้เท่าค่าเฉลี่ยในตลาดหุ้นหรือในเซ็กเตอร์ที่ดีหรือให้ผลตอบแทนสูงในระยะยาวด้วย ดังนั้น สิ่งที่ผมคิดว่านักลงทุนต้องทำที่เลี่ยงไม่ได้ก็คือ หาตลาดและ/หรือภาคอุตสาหกรรมที่ดี ซึ่งแน่นอนรวมถึงกลุ่มดิจิตอล ไฮเท็ค และอื่น ๆ ที่ดีหรือมีโอกาส “เปลี่ยนโลก” ได้ในราคาที่ “ไม่แพง” เสร็จแล้วก็เลือกลงทุนในกองทุนรวมหรือ ETF ที่อิงกับดัชนีนั้น
ในอดีตผมเองไม่เคยคิดที่จะลงทุนในกองทุนรวมเลยยกเว้นกองทุนที่ใช้ลดหย่อนภาษีได้ แต่ในช่วงปีที่แล้วที่ผมเพิ่มการลงทุนในตลาดหุ้นเวียตนามเนื่องจากเห็นถึงศักยภาพของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นที่น่าจะกำลัง “Takeoff” หรือโตก้าวกระโดด และพบว่ามี ETF ที่เน้นในกลุ่มหุ้นที่ผมอยากลงทุนซึ่งก็คือหุ้นกลุ่มที่ผมคิดว่าจะเป็น “ซุปเปอร์สต็อก” ผมจึงเลือกที่จะลงทุนใน ETF นั้นแทนที่จะเลือกลงทุนเอง นอกเหนือจากนั้นก็คือ ในฐานะที่เป็นชาวต่างชาติ ผมไม่ต้องจ่ายราคาหุ้นที่เป็น Premium ในหุ้นหลาย ๆ ตัวที่ผมอยากซื้อด้วย
สำหรับคนที่อยากลงทุนในหุ้นยุคใหม่ที่จะ “เปลี่ยนโลก” การลงทุนใน ETF แบบ ARK นั้นก็ต้องเข้าใจว่า ETF ตัวนี้ไม่ได้อิงกับดัชนีที่เป็นแนว Passive แต่เป็นแนว Active Fund ที่ผู้บริหารเลือกหุ้นเอง มีการซื้อขายและเปลี่ยนตัวหุ้นตลอดเวลาในแนวของ Hedge Fund ซึ่งมีความเสี่ยงสูงและทุกอย่างขึ้นอยู่กับผู้บริหาร ดังนั้น เราจะต้องมั่นใจว่า เคที่ วูด นั้นเป็น “เซียนตัวจริง” และคุ้มค่าที่จะ “จ้าง” ให้บริหารเงินของเราในธุรกิจและอุตสากรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงเร็วและไม่แน่นอนมาก ๆ และอยู่ในช่วงเวลาที่หุ้นร้อนแรงและมีราคาสูง “เหนือโลก” ในช่วงนี้ อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าเป็นเรื่องยากที่จะชักจูงให้คนลงทุนในหุ้นกลุ่มไฮเท็คหรือดิจิตอล “อิงดัชนี” ในช่วงที่คนกำลังสนใจหรือคลั่งไคล้ที่จะทำกำไรเป็นร้อยหรือหลายสิบเปอร์เซ็นต์ในปีเดียวอย่างที่เกิดขึ้นกับ ARK ETF ที่บริหารโดย เคที่ วูด
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ที่มาบทความ: https://blog.settrade.com/blog/nivate/2021/03/01/2471