ของปลอมในตลาดหุ้น

สองสามสัปดาห์ก่อนมีข่าวบริษัทจดทะเบียนแห่งหนึ่งแจ้งว่าสต็อกสินค้าของบริษัท “หายไป”  หรือไม่มีตัวตนตามที่ลงบัญชีไว้คิดเป็นเงินประมาณกว่าสองพันล้านบาท  ข่าวนั้นทำให้หุ้นของบริษัทตกลงไปกว่า 20% ในวันเดียวและทำให้ CEO ต้องประกาศลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบ  ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน  บริษัทจดทะเบียนอีกสองสามแห่งก็มีราคาตกลงมากว่า 20% บางตัวลดลงถึง 50% โดยไม่มีสาเหตุชัดเจนมาก  แต่หลังจากนั้นก็มี “ข่าวลือ” ออกมาว่าบริษัทมีการทำ  “ออร์เดอร์ปลอม” เพื่อที่จะทำให้กำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นมากก่อนที่เจ้าของจะขายหุ้นออกไปทำกำไรมหาศาล  ข่าวลือนั้นถูกปฎิเสธอย่างสิ้นเชิงโดยผู้บริหารและผมไม่รู้ว่าจะมีใครสืบสวนหรือทำอะไรต่อไปหรือไม่  แต่นักลงทุนจำนวนมากก็ขาดทุนกันอย่างหนัก  ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นโดยรวมคงไม่แตกต่างกัน  และนี่ก็เป็นสิ่งที่ยืนยันว่ากรณีที่เกิดการฉ้อฉลหรือแม้แต่ข่าวลือว่ามีการฉ้อฉล  หุ้นนั้นก็มักจะเกิด  “หายนะ”  คนที่เข้าไป “เล่น” ก็มักจะเสียหายหนัก

ผมเองคงไม่พูดถึงกรณีที่เกิดขึ้นนั้นมากนักเพราะเรื่องราวต่าง ๆ  ยังไม่กระจ่างชัดว่าเกิดอะไรขึ้นจริง ๆ  แต่อยากจะยกกรณีของหุ้น  “ในตำนาน” ตัวหนึ่งที่เกิดเหตุการณ์คล้าย ๆ  กันนั่นก็คือหุ้นของบริษัทอเมริกันเอ็กเพรสหรือ AMEX ที่บัฟเฟตต์เคยเข้าไปซื้อหลังจากเกิดเรื่องและทำกำไร “มโหฬาร” จนกลายเป็น “ตำนาน” การลงทุนของบัฟเฟตต์และก็ยังเป็นบริษัทที่บัฟเฟตต์ยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในวันนี้

ในปี 1962-63 เอเม็กซ์ซึ่งเป็นผู้ให้บริการบัตรเครดิตรายใหญ่ได้เริ่มเข้าไปทำธุรกิจให้กู้กับธุรกิจคลังสินค้าโดยที่บริษัทจะให้กู้โดยเอาสินค้าซึ่งเป็นโภคภัณฑ์ที่เก็บไว้ในคลังสินค้าของลูกค้าเป็นหลักประกัน   ในช่วงเวลานั้น  ผู้ค้าน้ำมันพืชรายใหญ่คนหนึ่งคือ Anthony De Angelis หรือ “Tino” อดีตพ่อค้าส่งออกอาหารไปยุโรปผู้เคยมีประวัติ “ไม่ค่อยดีนัก” ในเรื่องของการส่งสินค้าต่ำกว่ามาตรฐานที่ตกลงกันไว้  กำลังพยายามปั่นราคาน้ำมันถั่วเหลืองในตลาดฟิวเจอร์ของอเมริกาอยู่   พอเอเม็กซ์เริ่มเข้ามาปล่อยกู้ในตลาด  เขาก็มองเห็นโอกาสที่จะทำกำไรมหาศาลโดยการกู้เงินจำนวนมากจากเอเม็กซ์แล้วนำเงินนั้นมา  “Corner” หรือซื้อน้ำมันถั่วเหลืองจนหมดตลาดเพื่อดันราคาน้ำมันให้ขึ้นไปสูงลิ่ว

การกู้เงินของ Tino นั้น  เนื่องจากเขาไม่มีหลักประกันเพียงพอ  สิ่งที่เขาทำก็คือ  เขาเติมน้ำเข้าไปในแท้งค์แล้วเติมน้ำมันถั่วเหลืองซึ่งเบากว่าลอยปิดหน้าซึ่งทำให้ดูเหมือนว่ามีน้ำมันถั่วเหลืองเต็มแท้งค์ทุกใบ  โดยรวมแล้ว  เขามี “น้ำมันปลอม” คิดเป็นเงินถึง 175 ล้านเหรียญซึ่งถ้านับมูลค่าปัจจุบันเท่ากับ 1,450 ล้านเหรียญหรือประมาณ 50,000 ล้านบาท    โชคไม่ดี  ปริมาณน้ำมันที่เก็บอยู่ในแท้งค์นั้นมีคนเริ่มพบว่ามันมีมากกว่าปริมาณน้ำมันของผู้ผลิตน้ำมันถั่วเหลืองทั้งหมดซึ่งแสดงว่าน้ำมันในแท้งค์นั้นเป็น  “ของปลอม”  ข่าวนั้นออกมาทำให้  “วงแตก”  เอเม็กซ์เข้าไปตรวจสอบและพบว่าสต็อกนั้นไม่มีจริง  ราคาน้ำมันถั่วเหลืองในตลาดฟิวเจอร์ร่วงลงหนัก  Tino ขาดทุนจนต้องล้มละลาย  หนี้ของเอเม็กซ์กลายเป็นหนี้สูญ  เอเม็กซ์เสียหายอย่างหนัก  ราคาหุ้นเอเม็กซ์ร่วงลงกว่า 50%

วอเร็น บัฟเฟตต์ วิเคราะห์แล้วพบว่าธุรกิจของเอเม็กซ์ซึ่งเป็นผู้นำในตลาดบัตรเครดิตนั้นยังแข็งแกร่งมากและน่าจะรับกับความเสียหาย  “ครั้งเดียว”  ครั้งนี้ได้  แต่ราคาหุ้นตกลงมามากเกินไป  คำนวณแล้วต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานของเอเม็กซ์มาก  เขาตัดสินใจใช้เงินน่าจะประมาณครึ่งหนึ่งของทั้งพอร์ตซื้อหุ้นเอเม็กซ์  มันเป็นการ  “ตีแตก”  ที่ใหญ่ที่สุดของบัฟเฟตต์   เขาทำกำไรมหาศาลและกลายเป็นศาสตร์แห่งการลงทุนที่เป็นยี่ห้อหรือซิกเนเจอร์ของบัฟเฟตต์ที่ว่า  “โอกาสการลงทุนที่ดีเยี่ยมที่สุดก็คือการซื้อหุ้นของบริษัทที่ยิ่งใหญ่เมื่อเกิดเหตุการณ์เลวร้ายครั้งเดียวที่แก้ไขได้ในราคาที่ถูกเหลือเชื่อ”

เมื่อพูดถึงเรื่องของ Fraud หรือ Scandal หรือเรื่องของการโกงหรือความฉาวโฉ่และพูดถึงกรณีของเอเม็กซ์แล้ว  คนอาจจะคิดว่าผมกำลังบอกว่าให้พิจารณาเข้าไปซื้อหุ้นในตลาดหุ้นไทยเหล่านั้นเมื่อราคาหุ้นตกลงมามากแล้ว  แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อ  กรณีของเอเม็กซ์นั้นเป็นเรื่องของสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับธุรกิจเดิมและเป็นธุรกิจหลักที่ “ยิ่งใหญ่” ซึ่งก็คือธุรกิจบัตรเครดิตที่บริษัทเป็นผู้นำและคนอเมริกันต่างก็ใช้กันอย่างกว้างขวาง  น้ำมันถั่วเหลืองที่ใช้ทำน้ำมันสลัดและการปล่อยกู้ของเอเม็กซ์นั้นเป็นเรื่อง “ครั้งเดียวจบ”  แต่ถ้าเป็นเรื่องฉาวโฉ่ในธุรกิจหลักอย่างในกรณีของหุ้นเทสโก้ที่บัฟเฟตต์เคยลงทุนเหมือนกันนั้น  มักเป็นเรื่องที่เข้าทำนอง  “แมลงสาบมักจะไม่ได้มีตัวเดียว”  ดังนั้นถ้าเกิดขึ้นแล้ว  แทนที่จะเข้าซื้อเราอาจจะต้องขายอย่างในกรณีของหุ้นเทสโก้ที่ในที่สุดบัฟเฟตต์ก็ต้องขายหุ้นทิ้งทั้งหมด  เพราะเขาคิดว่ามันอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นครั้งเดียวและเป็นเรื่องที่ “แก้ไขไม่ได้” โดยเฉพาะถ้ามันเป็นเรื่องของการบริหารและผู้บริหารที่ไม่น่าไว้วางใจ

กลับมาที่หุ้นไทย  ประเด็นที่จะต้องระวังก็คือ  ราคาหุ้นนั้นแม้ว่าจะตกลงมามาก  แต่ราคาก็ยังสูงมากเมื่อเทียบกับราคาหุ้นก่อนที่จะขึ้น  ซึ่งไม่เหมือนกับกรณีเอเม็กซ์ซึ่งหุ้นของบริษัทก่อนเกิดเรื่องนั้นไม่ได้ปรับตัวขึ้นผิดปกติ  ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ  “โอกาสซื้อที่ยิ่งใหญ่” นั้น  เราจะต้องวิเคราะห์ดูถึงมูลค่าพื้นฐานที่ควรจะเป็นของตัวธุรกิจหลักว่าควรจะมีค่าเท่าไรเมื่อเทียบกับราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมา  ในกรณีของเอเม็กซ์นั้น  ผมคิดว่าเอเม็กซ์ในช่วงนั้นน่าจะกำลังเป็น  “ซุปเปอร์สต็อก”  เหตุผลก็เพราะว่าในปี 1963 นั้น  บัตรเครดิตยังเป็นของใหม่ที่มีคนใช้ไม่มาก  การเติบโตน่าจะมีมหาศาลและเอเม็กซ์เป็นผู้นำที่โดดเด่นมาก  ผมเองยังจำได้ว่าเมื่อผมไปอเมริกาครั้งแรกสมัยเมื่อ 40 ปีที่แล้ว  ผมต้องซื้อเช็คเดินทางของเอเม็กซ์  แต่ Market Cap. ของบริษัทในช่วงที่บัฟเฟตต์เข้าซื้อนั้นดูเหมือนว่าจะเล็กมากจนบัฟเฟตต์สามารถซื้อจนกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ได้ทั้ง ๆ  ที่พอร์ตของบัฟเฟตต์ยังไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น

อีกประเด็นหนึ่งก็คือเรื่องของสถานะของบริษัทที่เราจะต้องดูว่ามันดีหรือเป็นระดับ  “ซุปเปอร์สต็อก”  หรือไม่?  นี่ก็เป็นเรื่องสำคัญ   ในกรณีของหุ้นเอนรอนบริษัทพลังงานที่ยิ่งใหญ่ซึ่งเคยเกิดเหตุการณ์ “ฉาวโฉ่” ที่ผู้บริหารมีการแต่งบัญชีหรือทำ “รายการปลอม”  และราคาหุ้นตกลงมามากนั้น  ก่อนที่จะเกิดเรื่องก็ได้รับการกล่าวขวัญกันมากว่าเป็นหุ้นระดับ  “ซุปเปอร์สต็อก”  ที่โตเร็วและกำไรดีมาก  โดยที่ไม่รู้ว่าที่จริงสิ่งที่เห็นนั้นมันเป็น  “ของปลอม”  ถ้าเราไปซื้อหุ้นเอนรอนที่เราคิดว่าตกลงมามากแล้ว  สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาก็คือ  มันล้มละลายและหุ้นกลายเป็นศูนย์  ว่าที่จริงหุ้นไทยหลายตัวก็มีลักษณะคล้าย ๆ  กับหุ้นเอนรอน  หลายตัวถูกพักการซื้อขาย  และในอนาคตก็อาจจะกลายเป็นศูนย์เหมือนกัน

กล่าวโดยสรุปก็คือ  ถ้าเราพบหุ้นที่มีราคาทิ้งดิ่งลงมาเนื่องจากเหตุการณ์ที่พบหรือคนสงสัยว่าเป็นเรื่องของความฉาวโฉ่หรือเป็น  “ของปลอม” นั้น  อย่าไปคิดว่ามันเป็น “โอกาสซื้อที่ยิ่งใหญ่”  ว่าที่จริงโอกาสที่จะเกิดแบบนั้นมีน้อยมาก  ในชีวิตเราน่าจะมีไม่กี่ครั้ง  การวิเคราะห์เองก็ไม่ง่าย  ที่สำคัญก็คือ  เป็นเรื่องยากที่จะ “Un-learn”  หรือถอนความทรงจำและการเรียนรู้ของเราต่อตัวหุ้นที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ  นี้  นั่นก็คือ  ถ้าเรามีภาพที่ดีต่อตัวหุ้นก่อนเกิดเหตุการณ์  เราก็อาจจะคิดว่าในที่สุดบริษัทก็จะดีขึ้นเหมือนเดิม  เราไม่สามารถเห็น “ภาพใหม่”  ที่อาจจะถูกต้องเป็นจริงมากกว่า  นี่อาจจะต้องใช้เวลาให้สมองของเราค่อย ๆ  ซึมซับภาพใหม่ที่ทยอยเกิดขึ้น  และเมื่อถึงวันนั้นเราก็จะสามารถมองบริษัทหรือหุ้นได้ถูกต้องและไม่ลำเอียง  ซึ่งสำหรับบางคนแล้ว  มันก็อาจจะช้าเกินไป  แต่สำหรับผมแล้ว  ไม่มีอะไรช้าเกินไปสำหรับการลงทุน  สำหรับผมแล้ว  “เสียดายดีกว่าเสียใจ” ถ้าตัดสินใจเร็วแล้วผิดพลาด

ที่มาบทความ: thaivi.org

TSF2024