วิกฤติกำลังจะมา?

สัปดาห์ก่อนตลาดหุ้นโลกและไทยค่อนข้างผันผวน  บางวันดัชนีดาวโจนส์ตกลงมาถึง 3%   เช่นเดียวกันตลาดหุ้นไทยบางวันก็ตกลงมาเกือบ 2% ทั้ง ๆ  ที่ในช่วงหลายปีหลังดัชนีตลาดหลักทรัพย์บ้านเราค่อนข้างมั่นคงไม่ค่อยผันผวนมากนัก  ที่สำคัญ  หุ้นแบ้งค์ใหญ่ซึ่งโดยปกติไม่ค่อยปรับตัวมากต่างก็ตกลงมาถึงประมาณ 3% ในวันเดียว  การตกลงมาอย่างหนักของหุ้นนั้นส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลจากการปรับตัวของตลาดเงินและพันธบัตรที่มีการปรับลดลงโดยธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ รวมถึงไทยซึ่งก็ส่งผลไปถึงตลาดการเงินด้วย  เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ  ทำให้อัตราผลตอบแทนหรือที่เรียกว่า Yield ของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะสั้นอายุ 2 ปีลดลงมาเหลือ 1.63%  ต่อปี  แต่ที่ลดลงหนักยิ่งกว่าก็คือผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีได้ตกลงมาเหลือเพียง 1.62% ต่อปี ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ผิดปกติที่เรียกว่า Inverted Yield Curve (IYC) ที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก  อาจจะ 10 ปีหนอะไรทำนองนั้น  แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เกือบทุกครั้งที่เกิดขึ้น  หลังจากนั้นประมาณ 12 เดือน  เศรษฐกิจก็เกิด  “วิกฤติ”  ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา  มีเพียงครั้งเดียวที่เวลาเกิดสถานการณ์ที่เรียกว่า Inverted Yield Curve นี้แล้วเศรษฐกิจไม่วิกฤติ  ส่วนอีก 6 ครั้งนั้น  เศรษฐกิจเกิดปัญหาหลังจากนั้นภายใน 7-24 เดือน  ดังนั้น  การเกิด IYC ครั้งนี้จึงทำให้นักเศรษฐศาสตร์กังวลกันมาก  และตลาดหุ้นจึงตกลงมาแรง คำถามก็คือ  วิกฤติกำลังจะมาใช่ไหม?  และเราในฐานะของนักลงทุนจะทำอย่างไร?

ก่อนอื่นคงต้องดูว่า IYC หรือการที่ผลตอบแทนพันธบัตรหรือการลงทุนระยะสั้นให้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรหรือการลงทุนระยะยาวนั้นมีความหมายอย่างไร?

โดยปกติถ้าเราลงทุนระยะยาว  เราต้องการที่จะได้ผลตอบแทนสูงขึ้น  เช่น  ถ้าฝากเงินออมทรัพย์หรือฝากแค่ 3 เดือน  ผลตอบแทนก็อาจจะได้แค่ 1-2% ต่อปี  แต่ถ้าเราฝากประจำหรือลงทุนในพันธบัตรอายุ 3 ปีที่ไม่มีความเสี่ยงเหมือนกันนั้น  เราก็มักจะได้ผลตอบแทนสูงกว่าเช่น อาจจะ 3%  ถ้ายาวกว่านั้นเช่น 10 ปี  เราก็มักจะได้ผลตอบแทนสูงขึ้นเช่น 5% ต่อปี  นี่เป็นเรื่องปกติ  แต่สถานการณ์ IYC ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ในอเมริกานั้นกลับกลายเป็นว่าถ้าเราลงทุนแค่ 2 ปีกลับได้ผลตอบแทนสูงกว่าลงทุน 10 ปี  ซึ่งเป็นเหมือนกับสัญญาณว่าในอนาคตอัตราดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนระยะสั้นจะลดลงและจะลดลงอยู่ในระดับต่ำไปอีกนานเป็น 10 ปี  นักลงทุนจึงยอมที่จะ “ล็อก” อัตราผลตอบแทนไว้ก่อน  ว่าที่จริงผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปีของอเมริกาในช่วงนี้อยู่ที่เพียง 2.015% ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์และเป็นการส่งสัญญาณโดยตลาดเงินว่าผลตอบแทนหรือดอกเบี้ยในอีก 30 ปีข้างหน้านั้นจะต่ำมากอย่างน่าตกใจคือเฉลี่ยปีละประมาณ 2%

เหตุที่ผลตอบแทนในอนาคตจะต่ำมากนั้นเป็นสัญญาณว่าคนที่จะกู้เงินเพื่อลงทุนซึ่งต้องอาศัยเงินระยะยาวนั้นมีน้อยและคนที่จะปล่อยกู้หรือลงทุนมีมาก  ซึ่งก็เป็นสัญญาณต่อไปว่าเศรษฐกิจกำลังถดถอย  ธุรกิจจะไม่ค่อยลงทุน  บริษัทไม่โต  กำไรไม่โตหรืออาจจะตกลง  ธุรกิจบางส่วนจะล้มละลายและอาจจะก่อปัญหาให้กับสถาบันการเงิน  และในที่สุดก็อาจจะกลายเป็น  “วิกฤติ”  ว่าที่จริงเราก็เริ่มเห็นแล้วว่าเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ  รวมถึงไทยกำลังเติบโตน้อยลง  มีการปรับเป้าหมายการเติบโตลดลงกันทั่วโลก  การส่งออกติดลบ  การลงทุนภาคเอกชนน้อยลง  ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากประเด็นเรื่องของสงครามการค้าระหว่างอเมริกากับจีนและโลก  และไม่ว่าเหตุผลจะเป็นอย่างไร  สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นชัดเจนว่าเศรษฐกิจโลกและไทยกำลังชะลอลงและการแก้ไขไม่ใช่เรื่องง่าย  เหตุผลก็อาจจะเป็นเพราะว่าประเทศต่าง ๆ  ทั่วโลกต่างก็ใช้ “เครื่องมือ” และทรัพยากรต่าง ๆ  ที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น  การลดดอกเบี้ยและการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบโดยรัฐกันเกือบหมดแล้วตั้งแต่ปี 2008 ในช่วงวิกฤติรอบก่อน  ดังนั้น  การป้องกันปัญหาในรอบนี้จึงไม่ใช่เรื่องง่าย

ว่าที่จริงคนที่มีชื่อเสียงทางด้านเศรษฐศาสตร์บางคนทำนายมานานพอสมควรแล้วว่าอเมริกาจะเกิดวิกฤติในปี 2020 คือปีหน้าตั้งแต่เศรษฐกิจอเมริกันยังไม่มีปัญหา  ยังไม่มีเรื่องสงครามการค้าและปรากฎการณ์ IYC  เหตุผลผมจำไม่ได้ชัดแต่น่าจะมาจากการที่เศรษฐกิจอเมริกาไม่สมดุลเช่นการขาดดุลการค้าและอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำต่อเนื่องกันยาวนานเป็นต้น  แต่อีกส่วนหนึ่งนั้นอาจจะมาจากการที่เศรษฐกิจดีต่อเนื่องมายาวนานจนเกินไปคือเกิน 10 ปีซึ่งตามประวัติศาสตร์ไม่ค่อยเกิดขึ้นและมักจะจบลงด้วยการถดถอยหรือวิกฤติ  ในตอนนั้นก็แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ก็คงไม่ได้ให้น้ำหนักมากเพราะว่าเรื่องการทำนายทายทักเรื่อง “โลกาวินาศ” นั้น  มีอยู่ตลอดเวลา  คนที่ได้ชื่อว่าเป็น “Doomsayer” หรือคนที่ได้รับการยอมรับว่าสามารถทำนายเรื่องร้ายแรงที่กำลังจะเกิดขึ้นได้แม่นยำนั้นมีอยู่มากมายและพวกเขาก็ “ทำนายอยู่เรื่อย ๆ” จนคนไม่ค่อยสนใจแล้ว  อย่างไรก็ตาม  เหตุการณ์หลาย ๆ  เรื่องที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ก็น่าจะทำให้คนหลายเริ่มสนใจและอาจจะเชื่อมากขึ้นว่า  “วิกฤติกำลังจะมา”  และนั่นน่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ตลาดหุ้นผันผวนอย่างแรงในสัปดาห์ก่อน

ในฐานะของ VI เราคงไม่สรุปว่าวิกฤติจะมาแน่  ความเชื่อที่ว่า  “วิกฤติมักจะมาโดยที่เรามักจะไม่คาดคิดหรือไม่รู้ตัว  ถ้าทุกคนคาดว่าจะเกิดมันก็คงไม่เกิดเพราะเราจะแก้ไขหรือหลีกเลี่ยงก่อน”  นั้น  ดูเหมือนว่าจะฝังอยู่ในความคิดของนักคิดจำนวนไม่น้อย  คนมักจะพูดกันว่าในอดีตที่เกิดวิกฤติแต่ละครั้ง  ก็ดูเหมือนว่าจะเกิดขึ้นโดยไม่มี “เซียน” คนไหนบอกก่อน  สำหรับประเด็นนี้ผมเองก็มีข้อถกเถียงอยู่เหมือนกัน  เพราะผมเองก็เคยผ่านมาหลายวิกฤติ  ผมยอมรับว่าวิกฤติซับไพร์มในปี 2008 นั้น  เกิดขึ้นโดยผมแทบไม่รู้ตัวเลย  เหตุผลอาจจะเป็นเพราะมันอยู่ไกลตัวมาก  แต่วิกฤติของไทยในปี 2540 ซึ่งผมเองอยู่ใน “ศูนย์กลาง” ของปัญหานั้น  ผมรู้ดีมากว่ามันจะต้องเกิดก่อนที่มันจะเกิดจริงไม่น้อยกว่า 1 ปี  เพียงแต่ว่าเราทำอะไรไม่ได้  แก้ไขอะไรไม่ได้  และ  “พูดไม่ได้”

ในตอนนี้ที่เราไม่ได้เป็นศูนย์กลางของปัญหาและไม่มีข้อมูลที่ดีพอ  เราก็ไม่รู้จริง ๆ  ว่าในที่สุดจะเกิดวิกฤติหรือไม่  แต่ด้วยปรากฎการณ์และสัญญาณที่เราเห็นอยู่หลายเรื่อง  โอกาสที่จะเกิดปัญหากับเศรษฐกิจและตลาดหุ้นก็น่าจะมีอยู่ไม่น้อย  อย่างไรก็ตาม  การตัดสินใจกำหนดกลยุทธ์ในการลงทุนนั้น  เราคงไม่ได้ให้น้ำหนักว่าวิกฤติจะต้องเกิดแน่นอน  เพราะถ้าคิดอย่างนั้น  เราอาจจะตัดสินใจขายหุ้นทิ้งทั้งหมดซึ่งไม่ใช่กลยุทธ์ที่ดีเลย    สิ่งที่ควรจะทำก็คือ  เตรียมปรับพอร์ตการลงทุนในลักษณะ Defensive หรือแนวอนุรักษ์นิยมที่อาจจะไม่ได้ถือหุ้น 100% และหุ้นที่ถืออยู่นั้นจะไม่ถูกกระทบจากภาวะเศรษฐกิจมากเกินไป  ราคาหุ้นก็ไม่ควรแพง  เพราะถ้าเกิดวิกฤติจริง  ราคาอาจจะตกลงมาได้มาก  ที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งก็คือ  วิกฤติอาจจะส่งผลต่อตลาดหุ้นยาวนาน  ดังนั้น  ควรเลือกหุ้นที่สามารถจ่ายปันผลได้ดีพอสมควรแม้ว่าเศรษฐกิจจะย่ำแย่  การได้รับปันผลในยามที่หุ้นตกลงมาหรือภาวะตลาดซบเซานั้นผมคิดว่าจะทำให้เรารู้สึกดีขึ้น   อีกประการหนึ่งก็คือ  หุ้นที่ยังสามารถจ่ายปันผลได้ดีนั้นก็คือกิจการที่แข็งแกร่งและไม่ล้มหายตายจากไปง่าย ๆ  และพร้อมกลับมาเติบโตต่อไปได้อย่างรวดเร็วเมื่อวิกฤติผ่านไป

คำถามสุดท้ายก็คือ  ถ้าเราค่อนข้างมั่นใจว่าปัญหาคงจะมีแน่แม้ว่าเศรษฐกิจอาจจะไม่วิกฤติ  ทำไมเราไม่ถือเงินสด?  คำตอบของผมก็คือ  เงินสดนั้นก็คือการลงทุนอีกอย่างหนึ่งที่ให้ผลตอบแทนน้อยมากน่าจะแค่ไม่เกิน 1-2% ต่อปี และจะน้อยต่อไปอีกน่าจะเป็น 10 ปีขึ้นไป  ดังนั้น  ถ้าเราสามารถเลือกหุ้นที่ให้ปันผลได้ซัก 3-4% ต่อปีขึ้นไปในระยะยาวแม้ในยามที่เศรษฐกิจยากลำบาก  การถือเป็นหุ้นก็น่าจะดีกว่า  และในกรณีแบบนี้  เราคงต้องลืมเรื่องของราคาหุ้นไปก่อน

ที่มาบทความ: http://www.thaivi.org/วิกฤติกำลังจะมา/

TSF2024