ในวันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน 2564- ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ประเทศไทยก็จะเริ่มมีการ “ระดมฉีด” วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้กับประชาชนทั้งประเทศและจะทำต่อเนื่องจนคนทั้งประเทศมี “ภูมิคุ้มกันหมู่” ที่จะป้องกันการระบาดของไวรัสโคโรน่าที่ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำลงจนกลายเป็น “วิกฤติ” ตั้งแต่ต้นปี 2563 ตามแผนการที่กำหนด คาดว่าภายในสิ้นปีนี้หรืออย่างช้าก็น่าจะภายในกลางปีหน้า กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งหมดเฉพาะอย่างยิ่งการท่องเที่ยวเดินทางจะกลับมาเป็นปกติ และ GDP หรือ ผลผลิตมวลรวมของประเทศก็น่าจะกลับมามีขนาดเท่าเดิมก่อนเกิดโควิดภายใน 1 ปีหลังจากนั้น หรือกล่าวโดยสรุปก็คือ โควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจไทย “หายไป” หรือหยุดนิ่งไปประมาณ 3 ปี โดยที่การฟื้นตัวหลัก ๆ จะเกิดขึ้นในปี 2565 โดยในวันสิ้นปี 2565 หรือกลางปี 2566 สภาพหรือโครงสร้างทางเศรษฐกิจของไทยน่าจะใกล้เคียงกับวันสิ้นปี 2562 นั่นคือ
เราจะมีภาคอุตสาหกรรมที่เน้นการส่งออกสินค้า “ยุคเก่า” เช่นรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในและอุตสาหกรรมที่เป็น “เทคโนโลยีเก่า” ที่เน้นแรงงานเหมือนเดิม มีภาคเกษตรกรรมที่อิงอยู่กับการใช้ที่ดิน เครื่องจักร และแรงงานของคนสูงอายุ ที่อิงอยู่กับเทคโนโลยีดั้งเดิม และเราก็จะยังเป็นแหล่งท่องเที่ยว “ยอดนิยม” ที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวทั่วโลกโดยเฉพาะจากจีนจำนวนประมาณ 40 ล้านคนซึ่งจะกลับมาเที่ยวประเทศไทยอีกครั้งหลังจากที่ต้องอยู่แต่ในประเทศของตนเองมานานอย่างน้อย 2-3 ปี การเกิดขึ้นของโควิด-19 ที่ผู้เชี่ยวชาญต่างก็บอกว่าโลกจะ “ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป” นั้น อาจจะไม่ใช่สำหรับประเทศไทยในวันสิ้นปี 2565 สามปีที่ผ่านไปนับจากวันเกิดการระบาดของโควิด-19 นั้น อาจจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยในประเทศไทยยกเว้นพฤติกรรมบางอย่างเช่น การซื้อสินค้าผ่านทางอินเตอร์เน็ตมากขึ้นและการทำงานบางอย่างผ่านทางเครื่องมือสื่อสารที่จะอยู่กับเราต่อไปหลังจากโควิด-19
อนาคตของประเทศไทยตั้งแต่ปี 2566 จะไปทางไหน? นี่เป็นคำถามสำคัญที่เราจะต้องตอบ เพราะถ้าเราไม่ทำอะไรที่แตกต่างออกไปจากสิ่งที่เราเป็นอยู่ในวันนี้ ผมคิดว่าอนาคตของประเทศจะ “มืดมน” เพราะสิ่งที่เราทำอยู่นั้น กำลัง “ล้าสมัย” อย่างรวดเร็ว เอาแค่รถยนต์ใช้น้ำมันที่ทั่วโลกต่างก็จะเลิกใช้ภายในระยะเวลาไม่กี่ปีข้างหน้านั้นก็อาจจะทำให้ภาคอุตสาหกรรมของเรา “เซ” ไปได้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงอุตสาหกรรม “ไฮเท็ค” อย่างเครื่องมือสื่อสารหรืออิเล็คโทรนิคที่เราถูก “ผ่าน” ไปยังประเทศที่เป็นแหล่งลงทุนใหม่ ๆ อย่างเวียตนามเพราะความสามารถในการแข่งขันของไทยที่ดูเหมือนจะถดถอยลงไปเรื่อย ๆ
สินค้าด้านการเกษตรซึ่งเคยเป็น “กระดูกสันหลัง” ของไทยตั้งแต่ช่วงสมัยที่ผมยังเป็นเด็กเองนั้น สิ่งที่เราทำอยู่ในปัจจุบันก็ดูไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนักยกเว้นการใช้เครื่องทุ่นแรงที่มีการใช้เกือบเต็มเท่าที่ทำได้ อย่างไรก็ตาม เรื่องสำคัญก็คือรูปแบบและแนวคิดในการทำงานดูเหมือนจะไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก คนไทยก็ยังปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ด้วยที่ดินส่วนตัวหรือพื้นที่เช่าขนาดเล็กซึ่งก็มักจะไม่มี “Economies of Scale” หรือการประหยัดเนื่องจากขนาดซึ่งจะทำให้มีประสิทธิภาพในการผลิตสูง แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ เกษตรกรขาดความรู้สมัยใหม่ทั้งทางด้านของตัวสินค้าและความรู้ในด้านของการผลิตยุคใหม่ที่เน้นในด้านของเทคโนโลยีโดยเฉพาะด้าน AI หรือปัญญาประดิษฐ์ที่จะสามารถดูแลและควบคุมการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถึงวันนี้เราก็ยังเน้นการปลูกพืชที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำเช่นข้าวธรรมดาแทนที่จะเป็นแบบออร์แกนนิค หรือเลี้ยงกุ้งในแบบเดิมที่นับวันจะแข่งขันไม่ค่อยได้กับประเทศที่กำลังพัฒนาขึ้นมาใหม่ ๆ
ในด้านของการท่องเที่ยวที่เป็นภาคเศรษฐกิจหลักที่ค่อนข้างใหม่ของไทยนั้น ในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมานั้นเราได้อานิสงส์มหาศาลจากประเทศจีนที่คนร่ำรวยขึ้นมากจนมีความสามารถและได้รับอนุญาตจากรัฐให้ออกมาเที่ยวต่างประเทศได้เต็มที่ นั่นประกอบกับการที่ประเทศไทยมีองค์ประกอบในการแข่งขันค่อนข้างดีมากทำให้การท่องเที่ยวก้าวขึ้นมาเป็น “กระดูกสันหลังอันใหม่” ทางเศรษฐกิจของไทยอย่างรวดเร็ว และเมื่อโควิด-19 ผ่านไป ผมคิดว่าการท่องเที่ยวจากต่างชาติจะกลับมาอย่างรวดเร็ว และเราจะต้องทำทุกอย่างให้มั่นใจว่าจะสามารถรับ “คลื่น” ของการท่องเที่ยวที่จะเกิดขึ้นทันทีที่โลกและประเทศไทยพร้อมที่จะเดินทาง อย่างไรก็ตาม หลังจากการพุ่งขึ้นของการท่องเที่ยวที่จะมาอย่างรุนแรงแล้ว ประเทศไทยก็จะต้องคิดถึงความ “ยั่งยืน” ของการท่องเที่ยวโดยเฉพาะจากต่างประเทศเพื่อที่จะใช้การท่องเที่ยวเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยต่อไปอีก อาจจะเป็นสิบ ๆ ปี เพราะนี่คือภาคเศรษฐกิจที่ไทยมีความได้เปรียบในการแข่งขัน
การที่จะเปลี่ยนแปลงภาคเศรษฐกิจของประเทศเพื่อที่จะทำให้ไทยมีการเติบโตของ GDP ต่อไปในอนาคตจนกลายเป็นประเทศพัฒนาแล้วได้นั้น ผมคิดว่าเราไม่สามารถ “ทำแบบเดิม” ได้อีกต่อไปในสถานการณ์โลกปัจจุบัน พูดง่าย ๆ เราไม่สามารถพัฒนาไปได้มากกว่านี้ด้วยเทคโนโลยีและความคิดแบบเก่าแบบเดิมได้ และเราก็ไม่สามารถทำเพิ่มขึ้นได้โดยการเพิ่มกำลังคนเนื่องจากแรงงานของเราไม่เพิ่มแล้วและแถมแก่ตัวลง วิธีที่เราจะทำได้ก็คือการคิดและทำใหม่ ในอดีตนั้น ผมไม่เคยเชื่อว่ารัฐหรือรัฐบาลสามารถผลักดันหรือสนับสนุนให้เกิดขึ้นได้ การพัฒนาตลอดมาตั้งแต่ที่ผมเป็นเด็กนั้นส่วนใหญ่เกิดจากภาคเอกชน ข้อดีของรัฐบาลในขณะนั้นก็คือ ไม่ขวางการพัฒนาและเข้ามาสนับสนุนเอกชนซึ่งรวมถึงต่างชาติให้ทำธุรกิจตามความต้องการของ “ตลาด” รัฐอาจจะบอกว่าเรามี “แผนพัฒนาเศรษฐกิจ” มาตลอดเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว แต่ผมคิดว่าแต่ละแผนก็แค่ต่อเส้นกราฟออกไปจากของเดิม ไม่ได้มียุทธศาสตร์อะไรที่เป็นของใหม่จริง ๆ
แต่สำหรับครั้งนี้ หลังวิกฤติโควิด-19 ผมคิดว่าถ้าจะให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้ เราจะต้องมาคิดกันอย่างจริงจังถึงยุทธศาสตร์ของประเทศไทยว่าจะไปทางไหน อย่าบอกว่าจะไปทุกทางเพราะนั่นเหมาะเฉพาะสำหรับประเทศที่ยังจนอยู่ ทุกอย่างยังเล็ก หลายภาคส่วนเพิ่งจะเริ่มต้นพัฒนาหรือเริ่มโต และนั่นก็คงคล้าย ๆ กับสถานการณ์ที่เวียตนามที่คนมักถามว่าจะลงทุนในหุ้นกลุ่มไหนดี ซึ่งผมก็มักจะบอกไปทุกครั้งว่าทุกเซคเตอร์ก็ยังโตหมด ไม่มีกลุ่มไหนที่อิ่มตัว แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว เซคเตอร์ใหญ่ ๆ ทั้งหมดดูเหมือนว่าจะอิ่มตัวแล้วในรูปแบบ “เศรษฐกิจเก่า” การที่จะสร้างการเติบโตต่อไปได้ เราจะต้องรุกเข้าไปในบางจุด ไม่ใช่ทุกจุด เพราะถ้าเราทำทุกจุดเท่า ๆ กัน ทรัพยากรจะไม่พอ เราต้องเลือก และเมื่อเลือกแล้ว ก็ต้องทุ่มความคิดและทรัพยากรเข้าไป การที่จะเดินหน้ารอบนี้ไม่ง่ายและผมคิดว่าจำเป็นที่จะต้องมีนักคิด มีผู้นำ มีการจัดเป็น “วาระแห่งชาติ” โดยคนที่เข้ามาร่วมต้องมาจากทุกภาคส่วน และแน่นอนต้องมีรัฐเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้ง ต้องมีพรรคและนักการเมืองที่จะทำ
ตัวอย่างของสิงคโปร์เป็นโมเดลที่น่าสนใจมากในแง่ที่ว่าเขาสามารถเปลี่ยนจาก “เศรษฐกิจเมืองท่า” ซึ่งจะเติบโตได้จำกัด กลายเป็น “Financial Hub” หรือศูนย์กลางทางการเงินโลก เปลี่ยนเป็นเมือง “ไฮเท็ค” ซึ่งจะเป็นแหล่ง Startup ที่สำคัญสำหรับคนย่านนี้ และสิ่งที่เป็นปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญสำหรับกิจกรรมต่าง ๆ ดังกล่าวก็คือ คุณภาพของคนหรือการศึกษาที่จะมารองรับ และนั่นก็ทำให้สิงคโปร์สร้างมหาวิทยาลัยชันนำของประเทศให้กลายเป็นมหาวิทยาลัย “ระดับโลก” ได้สำเร็จภายในเวลาไม่กี่สิบปี สำหรับรัฐบาลสิงคโปร์แล้ว แม้แต่การพูดภาษาอังกฤษให้ได้สำเนียงที่ดีก็ถือเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการสร้างประเทศให้เป็น Hub หรือศูนย์กลางของหลาย ๆ สิ่งที่สำคัญของโลก
ถึงนาทีนี้ ผมเองก็ไม่ได้หวังว่าประเทศไทยจะสามารถทำอย่างที่กล่าวได้ยกเว้นว่าจะมี “ปาฏิหาริย์” ดูเหมือนว่าสังคมไทยยังไม่พร้อมในหลาย ๆ ด้านโดยเฉพาะทางการเมือง เอาแค่เรื่องของงบประมาณที่ใช้ในแต่ละปีนั้นก็ไม่ตอบโจทย์อะไรเลย ดูเหมือนว่างบประมาณที่ได้ของแต่ละหน่วยงานจะขึ้นอยู่กับอำนาจของเจ้ากระทรวงหรือพรรคการเมืองเป็นหลักและก็ทำแบบ “เทียบกับงบปีที่แล้ว” มากกว่าที่จะดูว่างบนั้นจะสนับสนุนนโยบายหรือยุทธศาสตร์อะไรที่จะนำพาประเทศให้ก้าวหน้าไปในอนาคต ดังนั้น ผมเองต้องตั้งสมมติฐานว่าอนาคตของประเทศไทยนั้น จนถึงสิ้นปี 2565 หรือกลางปี 2566 เราคงกลับมาที่เก่าได้ แต่หลังจากนั้นแล้วก็ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน เวลาลงทุนผมก็จะคิดว่าตลาดหุ้นคงจะถึงจุดสูงสุดในวันใดวันหนึ่งก่อนหน้านั้น คือดัชนีตลาดหลักทรัพย์อาจจะไปถึง 1,800 หรือ 2,000 จุด แต่นั่นก็อาจจะเป็น “ก๊อกสุดท้าย” ถ้าไทยไม่สามารถปรับตัวเพื่อต่อสู้ใน “โลกยุคใหม่” ได้
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ที่มาบทความ: https://blog.settrade.com/blog/nivate/2021/06/07/2516