ช่วงที่ตลาดหุ้นร้อนแรงสุด ๆ อย่างในช่วงเร็ว ๆ นี้ วัดจากปริมาณการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นหลักแสนล้านบาทต่อวัน เราก็ได้เห็นหุ้นขนาดกลาง ๆ หลายตัว ถูกนักลงทุนเข้ามาซื้อขายเก็งกำไรหรือถูกใครบางคนเข้ามากวาดซื้อหุ้นของบริษัทเหล่านั้นในจำนวนที่มากจน “หุ้นหมด” ส่งผลให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นอย่างรวดเร็วทะลุ “เพดาน” ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปหลายเท่าตัวภายในเวลาไม่กี่เดือน ลักษณะอาการของหุ้นเหล่านี้ผมเรียกว่าเป็นหุ้นที่ถูก “Corner” หรือถูก “ต้อนเข้ามุม” ราคาจะวิ่งขึ้นไปได้มากจน “เป็นไปไม่ได้” และตราบใดที่คนอื่นที่ถือหุ้นอยู่ยังไม่ขายออกมาเป็นเรื่องเป็นราวเนื่องจากเหตุผลบางอย่างรวมถึงการที่พวกเขาคิดว่าหุ้นก็จะยังคงวิ่งต่อไป ราคาหุ้นที่สูงเสียดฟ้าก็จะยังคงสูงอยู่อย่างนั้น บางทีก็นานเป็นปี ๆ
หุ้นที่ถูกคอร์เนอร์ในอดีตนั้น มักจะเป็นหุ้นขนาดเล็กที่มีหุ้นหมุนเวียนในตลาดน้อย ดังนั้นจึงง่ายที่นักเล่นหุ้นรายใหญ่ บางทีก็แค่รายเดียว สามารถซื้อหุ้นจนเหลือน้อยและดันราคาขึ้นไปมหาศาลในเวลาอันสั้น หลังจากนั้นซักระยะหนึ่งเขาก็จะ “ออกของ” หรือทยอยขายหุ้นทิ้งโดยพยายามที่จะไม่ทำให้ราคาตกลงมาเร็วมากจนทำให้ขาดทุนกำไรไปมากหรือถึงกับขาดทุน และนั่นก็คือการ “จบเกม” ซึ่งโดยปกติคนที่เข้าไปเล่นหุ้นตัวนั้นเพราะเห็นราคาวิ่งขึ้นไปมากก็มักจะขาดทุนหนัก ส่วนคนที่กำไรมหาศาลก็คือคนที่เข้าไปคอร์เนอร์หุ้น ทั้งโดยตั้งใจหรือเข้าไปร่วมซื้อตั้งแต่ตอนแรก อย่างไรก็ตาม อานิสงส์ของขนาดของเม็ดเงินที่เพิ่มขึ้นมากของนักเก็งกำไรและนักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหุ้นในช่วงเร็ว ๆ นี้ได้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่น่าจับตามองมากนั่นก็คือ ขนาดของหุ้นที่ถูกคอร์เนอร์ขยับขึ้นเป็นหุ้นขนาดกลางที่มี Market Cap. เป็นหมื่นหรือหลายหมื่นล้านบาทที่ถูกต้อนเข้ามุมและดันราคาจนมีมูลค่าหุ้นเป็นหลักแสนล้านหรือหลายแสนล้านบาท ลองมาดูตัวอย่างว่ามีมากน้อยแค่ไหน
ชุดแรกที่มีความร้อนแรงมากนั้น เป็นหุ้นแนวสินค้าโภคภัณฑ์ ตัวแรกเป็นสินค้าทางการเกษตรอุตสาหกรรมและตัวที่สองเป็นสินค้าที่เป็นชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์อิเลกโทรนิกส์ ทั้งคู่มีราคาวิ่งขึ้นไปเฉลี่ยน่าจะในระดับ 10 เท่าตัวในเวลาอันสั้นไม่กี่เดือนโดยมีสตอรี่ว่าสินค้าขายดีและมีราคาเพิ่มขึ้นมากอานิสงค์จากโควิด-19 มูลค่าของหุ้นหรือ Market Cap. เฉลี่ยคิดจากราคาวันที่ 9 ธันวาคม 2563 ประมาณกว่า 270,000 ล้านบาทและกลายเป็นหุ้นที่ใหญ่ติดอันดับต้น ๆ ของตลาดหุ้นไทย และแน่นอนว่าเป็นหุ้นที่มีราคาแพงมากวัดจากค่า PE เฉลี่ยที่กว่า 44 เท่า ค่า PB ที่ 7.9 เท่า ปันผลตอบแทนที่ต่ำกว่า 1% ต่อปี โดยรายได้ในช่วง 3 ไตรมาศ ของปี 63 เฉลี่ยที่ประมาณ 31,000 ล้านบาท ซึ่งต้องถือว่าเป็นบริษัทระดับกลางเท่านั้น นอกจากนั้น หุ้นน่าจะมี “Free Float” หรือ “หุ้นหมุนเวียน” ในตลาด น้อยวัดจากปริมาณการถือหุ้นของรายใหญ่ 5 อันดับแรก ยกเว้นหุ้น NVDR) ที่เฉลี่ยประมาณ 76% ของหุ้นทั้งหมด
ชุดที่สองอยู่ในกลุ่มพลังงานไฟฟ้าจำนวน 3 ตัว ซึ่งน่าจะถูกคอร์เนอร์มาเป็นปี ๆ แล้ว โดยมีสตอรี่เป็นหุ้นเติบโตเร็วและกำไรดี อานิสงค์จากราคาขายไฟฟ้าที่ได้ราคาดีในอดีต แต่การเติบโตใหม่มักจะมาจากต่างประเทศเป็นหลัก หุ้นตัวใหญ่ที่สุดนั้นมีมูลค่าตลาดหลายแสนล้านบาทติดอันดับต้น ๆ ของหุ้นใหญ่ที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ เฉลี่ยแล้ว มูลค่าหุ้นเท่ากับประมาณ 250,000 ล้านบาท ค่า PE อยู่ที่ประมาณ 76 เท่า ค่า PB ที่ 6.3 เท่า ปันผลต่ำกว่า 1% ต่อปี รายได้เฉลี่ยต่อบริษัทในช่วง 3 ไตรมาศที่ผ่านมาประมาณ 24,000 ล้านบาท และห้าอันดับผู้ถือหุ้นใหญ่ถือหุ้นรวมกันประมาณ 67% โดยเฉลี่ย
ชุดที่สามก็คล้ายชุดที่สองในแง่ที่ว่าหุ้นน่าจะถูกคอร์เนอร์มานานพอสมควร เป็นหุ้นในกลุ่มสถาบันการเงินซึ่งอาศัยเรื่องราวที่ว่าเป็นกลุ่มที่สามารถเติบโตได้เร็วมากโดยเฉพาะจากสินเชื่อส่วนบุคคลรายย่อยที่มีความต้องการสินเชื่อ “ไม่จำกัด” เพราะตลาดมีขนาดใหญ่มาก ที่สำคัญ แม้ว่าจะให้กู้ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงเพื่อที่จะสามารถคิดอัตราดอกเบี้ยสูง แต่ด้วย “ความสามารถในการจัดการ” ก็ทำให้อัตราหนี้เสียต่ำกว่าสถาบันการเงินอื่น ๆ มาก ในกลุ่มนี้มี 2 ตัวที่มี Market Cap. เกินแสนล้านบาทและเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 130,000 ล้านบาท ค่า PE เฉลี่ยประมาณ 25 เท่า ค่า PB อยู่ที่ 6.3 เท่า อัตราปันผลต่อปีที่ประมาณ 1% ทั้งหมดนี้อาจจะดูว่าราคาไม่แพงมากเมื่อเทียบกับอัตราเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ แต่เมื่อเทียบกับสถาบันการเงินหลัก ๆ ของประเทศที่ทำธุรกิจคล้ายกันที่มักจะมีค่า PE ต่ำกว่า 10 เท่าและค่า PB ต่ำกว่า 1 เท่า อัตราปันผลปีละ เกิน 3% ก็ต้องถือว่าแพงมาก นอกจากนี้ รายได้ของบริษัทในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาเฉลี่ยเพียง 12,500 บาทก็ถือว่าน้อยมาก ในส่วนของฟรีโฟลทของหุ้นก็ต่ำกว่ามากเฉลี่ย 5 อันดับผู้ถือหุ้นใหญ่รวมกันเท่ากับประมาณ 75% เทียบกับสถาบันการเงินขนาดใหญ่ที่แทบไม่มีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นเรื่องเป็นราว
ชุดที่สี่ที่ผมจะพูดถึงนี้ถ้าจะให้ถูกต้องจริง ๆ ผมคิดว่าน่าจะเป็นหุ้นที่ “เคยถูก Corner” เมื่อซัก 2-3 ปีก่อน แต่ในปัจจุบันผมเองก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก เป็นกลุ่มที่ขายสินค้าผู้บริโภคโดยเฉพาะทางด้านเครื่องดื่ม โดยมีสตอรี่ที่จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดโดยการขยายตัวไปต่างประเทศ- ทั่วโลก มีหุ้นอยู่ 2 ตัวที่มี Market Cap. เฉลี่ยประมาณ 120,000 ล้านบาท ค่า PE โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 34.2 เท่า PB 9.7 เท่า และปันผลตอบแทนปีละ 2% ส่วนรายได้ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมานั้นอยู่ที่เฉลี่ย 16,500 บาท ผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุด 5 อันดับถือหุ้นรวมกันเฉลี่ยที่ประมาณ 51% ซึ่งตัวเลขทั้งหมดในปัจจุบันนั้นก็ดูเหมือนว่าไม่ถึงกับแพงจัดจนเป็นไปไม่ได้โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ที่อัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดต่ำมากและเงินล้นตลาดหุ้น ซึ่งต่างจากอดีตในช่วงที่ผมคิดว่าหุ้นอาจจะถูก Corner เนื่องจากช่วงนั้นหุ้นมีราคาแพงมากและอาการของหุ้นที่วิ่งขึ้นไปแรงและเร็วเกินจากพื้นฐานไปมากในเวลาอันสั้น
หุ้นตัวสุดท้ายที่ผมคิดว่ามีอาการของการถูกต้อนเข้ามุมมานานหลายปีมากนั้น เป็นหุ้นในกลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ เป็นหุ้นที่มีขนาดใหญ่ติดอันดับต้น ๆ ของตลาดหลักทรัพย์ มี Market Cap. หลาย ๆ แสนล้านบาท โดยที่หุ้นเคยวิ่งขึ้นมาเป็นสิบเท่าในเวลาแค่ 2-3 ปี อานิสงค์จากการเติบโตของการท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงเวลานั้น ค่า PE ของหุ้นสูงเกิน 100 เท่า ส่วนหนึ่งจากการที่กำไรของบริษัทตกลงไปมากจากเรื่องของโควิด-19 อย่างไรก็ตาม แม้ก่อนหน้านี้ค่า PE ก็ค่อนข้างสูงในระดับประมาณ 40 เท่าขึ้นไป ค่า PB เกือบ 10 เท่า และปันผลตอบแทนน้อยกว่า 1% ต่อปี รายได้ในปีก่อนหน้าอยู่ที่แค่ 30,000 กว่าล้านบาท ในส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่ 5 อันดับแรกนั้นถือหุ้นรวมกันกว่า 75% ของหุ้นทั้งหมด
กล่าวโดยสรุปก็คือ หุ้นที่มีคุณสมบัติและมีอาการของการเป็นหุ้นที่ถูกต้อนเข้ามุมก็คือ เป็นหุ้นที่มีสตอรี่น่าตื่นเต้นโดยเฉพาะว่ามันจะโตเร็วมากในอนาคตด้วยเหตุผลที่ “น่าเชื่อถือ” และส่วนมากก็มีข้อมูลพิสูจน์ได้มาระยะหนึ่งเช่นอย่างน้อยใน 2-3 ไตรมาศที่ผ่านมา และเมื่อ “เกิดขึ้น” ราคาหุ้นก็จะวิ่งขึ้นไปแรงและเร็วมาก ภายในระยะเวลาอันสั้นบางทีหุ้นขึ้นไปหลายสิบเปอร์เซ็นต์หรือหลายเท่าในเวลาไม่กี่เดือน ซึ่งแทบทั้งหมดก็ทำให้ราคาหุ้น “แพงมาก” เทียบกับหุ้นอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกันหรือเทียบกับตลาดหลักทรัพย์โดยรวม บ่อยครั้งราคาขึ้นไปสูงจน “เป็นไปไม่ได้” ในระยะยาว หลังจากที่ขึ้นไปแล้ว ราคาหุ้นต่อจากนั้นก็มักจะ “ผันผวนรุนแรง” ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นเนื่องจากมีคน “ขายทำกำไร” เป็นระยะ อย่างไรก็ตาม อานิสงส์จากคนถือหุ้นหรือนักลงทุนรายใหม่ที่อาจจะ “เปลี่ยนมุมมองของหุ้น” และคิดว่าราคาหุ้นที่สูงลิ่วนั้น “สมเหตุผล” เนื่องจากราคาที่ยืนอยู่ได้พร้อมกับปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันที่สูงลิ่ว ก็มักจะเข้ามาซื้อขายหรือลงทุนหรือเก็งกำไรในหุ้นเหล่านั้น ทำให้หุ้นก็ยังแพงสุดกู่ต่อไป
หุ้นส่วนใหญ่ที่ถูก Corner ในที่สุดก็มักจะ “แตก” โดยเฉพาะเมื่อคนเริ่ม “เปลี่ยนมุมมอง” ที่มีต่อหุ้น อาจจะเนื่องจากสตอรี่ เช่น การเติบโตนั้นไม่เกิดขึ้นในระยะเวลาที่มีการคาดไว้และคนเริ่มตระหนักว่ามัน “ไม่ได้เป็นหรือดีอย่างที่คิด” จึงเริ่มขายหุ้นและในที่สุดก็มีแต่คนที่คิดจะขายโดยคนที่จะซื้อนั้นมีน้อยมากเนื่องจากราคาหุ้นที่อาจจะแพงเกินไปมาก ผลก็คือ ราคาหุ้นดิ่งแบบ “ถล่มทลาย” และนั่นก็คือเกมการเงินหรือการลงทุนที่จบลงและคนที่เจ็บตัวก็โทษความผิดพลาดของตนเองที่เข้ามา “ผิดจังหวะ” ขายไม่ทันในช่วงที่หุ้นขึ้น ก่อนที่เขาจะตัดใจขายไปและหันไปหาหุ้นที่อาจจะกำลังถูก Corner ตัวใหม่
พูดถึงหุ้นไทยขนาดแสนล้านบาทที่อาจจะถูกต้อนเข้ามุมแล้ว ผมก็นึกไปถึงหุ้นดิจิตอลและไฮเท็คระดับโลกอย่างอะมาซอนหรือเทสลาที่หุ้นขึ้นไปหลาย ๆ เท่าในเวลาอันรวดเร็ว บางทีนี่ก็อาจจะเป็นการ “Corner ระดับโลก” ที่มีเม็ดเงินมหาศาลจากนักลงทุนทั้งโลกเข้าไปรุมซื้อจนราคาวิ่งขึ้นไปอย่างที่เห็นก็เป็นได้ ดังนั้น คนที่จะเข้าไปเล่นหุ้นแบบนั้นในเวลานี้ก็ควรจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ที่มาบทความ: https://blog.settrade.com/blog/nivate/2020/12/14/2429