เล่นหุ้นกระจุก VS ลงทุนกระจาย

คำถามสำคัญข้อหนึ่งที่นักลงทุนทุกคนจะต้องตอบให้ได้ก่อนที่จะเริ่มต้นเข้ามาลงทุนอย่างจริงจังก็คือ  เราจะลงทุนในทรัพย์สินประเภทไหนและอย่างละประมาณเท่าไร?  นี่คือคำถามสำคัญข้อแรกที่จะบอกว่าเราจะมีความเสี่ยงแค่ไหน

โดยหลักการแล้ว  ถ้าเราลงทุนในทรัพย์สินเพียงอย่างเดียวหรือน้อยอย่าง  เช่น  ลงทุนในหุ้นเพียงอย่างเดียว  ความเสี่ยงก็จะสูงกว่าการลงทุนในหุ้นบวกกับพันธบัตร  เป็นต้น  แต่ในขณะเดียวกัน โอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนก็อาจจะสูงกว่าด้วย  สำหรับผมซึ่งเติบโตมาด้วยหุ้นและคิดว่าสามารถเลือกหุ้นลงทุนที่ปลอดภัยพอสมควร  ผมเลือกที่จะลงทุนในหุ้นแทบจะอย่างเดียว  ทรัพย์สินอื่นที่มีรวมทั้งหมดน่าจะไม่เกิน 5% ของความมั่งคั่งทั้งหมด  นี่ไม่นับเงินสดที่บางครั้งก็มีมาก  บางครั้งเป็นสิบหรือหลายสิบเปอร์เซ็นต์แต่ก็ถือเพื่อรอซื้อหุ้นเท่านั้น  แต่สำหรับคนทั่วไปแล้ว  การกระจายการถือทรัพย์สินหลาย ๆ  อย่างซึ่งมักจะรวมถึงอสังหาริมทรัพย์ด้วยนั้น  จะช่วยลดความเสี่ยงได้ดี  อย่างไรก็ตาม  ผลตอบแทนการลงทุนโดยรวมก็จะไม่สูงมาก  การที่จะหวัง “รวยจากการลงทุน” อย่างรวดเร็วก็เป็นไปได้ยาก  เขาควรจะหวังว่าจะ “รวยจากการทำงาน” มากกว่า

สำหรับคนที่เลือกลงทุนในหุ้นอย่างมีนัยสำคัญนั้น  คำถามสำคัญก็คือ  เราจะเลือกลงทุนในหุ้นกี่ตัวในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง?  ยิ่งลงทุนในหุ้นน้อยตัวเช่น  ถือหุ้นตัวเดียวหรือบางทีเรียกว่าเล่นหุ้นทีละตัว  เราก็มีโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนสูงขึ้นและอาจจะรวยไปเลยถ้าเราเลือกหุ้นถูกตัว   นี่ก็คล้ายกับเจ้าของบริษัทที่เอาหุ้นเข้าตลาดที่เหมือนกับถือหุ้นเพียงตัวเดียวในพอร์ต  ถ้ากิจการหรือหุ้นดีมาก  เจ้าของก็รวยเป็น  “เศรษฐีหุ้น”  แต่ถ้ากิจการไม่ดีหรือเลือกหุ้นผิดตัว  ก็อาจจะขาดทุนหรือเจ๊งได้เหมือนกัน  ดังนั้น  ความเสี่ยงก็จะสูง

ตรงกันข้าม  ถ้าลงทุนแบบกระจายการถือหุ้นหลาย ๆ  ตัวหรือซื้อหุ้นทั้งตลาดผ่านการถือกองทุนรวมอิงดัชนี  โอกาสที่พอร์ตจะได้ผลตอบแทนสูงลิ่วก็มักจะลดลงและลดลงเรื่อย ๆ  ตามจำนวนหุ้นที่ถือ  อย่างไรก็ตาม  โอกาสที่จะขาดทุนจากหุ้นมาก ๆ  หรือเจ๊งเลยนั้นก็มักจะต่ำมาก  เหตุผลก็เพราะเมื่อมีหุ้นมากขึ้น  ผลตอบแทนของแต่ละตัวก็มักจะเฉลี่ยหรือหักกลบลบกันไป  โอกาสที่ทุกตัวจะดีพร้อมกันหรือแย่พร้อมกันก็มีน้อย  ผลลัพธ์ก็คือ  เราก็มักจะได้ผลตอบแทนดีพอใช้  น่าจะประมาณ 10% ต่อปีในอดีตและ 6-7% ต่อปีในอนาคต   ถ้าหวังรวยจากการลงทุนในหุ้นก็น่าจะยาก  วิธีที่จะรวยก็จะต้องหาเงินมาเติมมากขึ้นและลงทุนให้นานมากขึ้น จะหวังรวยเร็วไม่ได้

นักลงทุนที่สร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นอย่างโดดเด่นมีชื่อเสียงระดับโลกอย่างวอเร็น บัฟเฟตต์และอีกหลาย ๆ  คนนั้น  ต่างก็ใช้กลยุทธ์ลงทุนในหุ้นน้อยตัวหรือเรียกว่าลงทุนแบบกระจุกตัวหรือ Focus Investment ทั้งนั้น  ความหมายของมันก็คือ  หุ้นใหญ่ที่สุดเพียงไม่กี่ตัวมีมูลค่าถึงกว่า 50% หรือ 70% ของพอร์ตทั้งหมด  ในช่วงที่พอร์ตของบัฟเฟตต์ยังไม่ใหญ่และมีชื่อเสียงระดับประเทศนั้น  ครั้งหนึ่งเขาเคยมีหุ้นตัวเดียวคิดเป็น 50% ของพอร์ต  และในช่วงเวลาก่อนหน้านั้นก็มักจะมีหุ้นไม่กี่ตัวเป็นหุ้นหลัก ๆ  ที่รวมกันแล้วน่าจะเกิน 50% ของพอร์ต  และนั่นก็มีส่วนทำให้ผลตอบแทนของเขาดีเยี่ยม  ต่อมาเมื่อพอร์ตโตมากขึ้นจนมีมูลค่าติดหนึ่งในสิบบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา  จำนวนหุ้นก็มากขึ้นเรื่อย ๆ  และผลตอบแทนก็ต่ำลงเรื่อย ๆ   ว่าที่จริงผลตอบแทนของบัฟเฟตต์ในช่วง 20 ปีหลังนี้น่าจะเหลือไม่เกินปีละ 10% โดยเฉลี่ยและไม่ต่างจากผลตอบแทนของดัชนีตลาดมากนัก  อย่างไรก็ตาม  อานิสงค์จากผลตอบแทนช่วงแรกที่ดีเยี่ยมทำให้ผลตอบแทนเฉลี่ยกว่า 50 ปีของบัฟเฟตต์ยังคงสูงมากถึง 20% ต่อปี  กลายเป็นตำนานที่หาคนเทียบยาก

การลงทุนในหุ้นน้อยตัวเช่น  “ตัวเดียว”  หรือตัวเดียวก็มีค่ามากกว่า 80% ของพอร์ตนั้น   ถ้าจะพูดในเชิงวิชาการก็อาจจะเรียกว่าเป็นเรื่องของการเล่นหุ้นหรือการเก็งกำไร  ไม่ใช่เป็นการลงทุนในตลาดหุ้น  ดังนั้น  โอกาสที่จะได้ผลตอบแทนสูงลิ่วก็จะมี  เช่นเดียวกับที่จะมีโอกาสขาดทุนและเจ๊งได้มากกว่า  นักเก็งกำไรระดับโลกคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงมากว่าสามารถร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีระดับประเทศของอเมริกาจากเดิมที่เป็น  “เด็กเคาะกระดาน”  ก็คือ เจสซี่ ลิเวอร์มอร์นั้น  น่าจะเล่นหลักทรัพย์ตัวเดียวหรือน้อยตัวในแต่ละช่วงเวลา  สิ่งที่เขาเล่นในตอนนั้นก็มักจะเป็นการซื้อขายคอมโมดิตี้ที่สามารถใช้มาร์จินซื้อหลักทรัพย์ได้เป็นสิบเท่าของเงินที่มี  โดยวิธีนี้เขาจึงสามารถเข้าไป  “Corner” หรือซื้อโภคภัณฑ์บางอย่างเช่น โลหะเงิน หรือถั่วเหลือง หรืออาจจะเป็นหุ้นด้วย  จนแทบจะ “หมดตลาด” ส่งผลให้ราคาขึ้นไปมากซึ่งทำให้เขาขายทิ้งและรวยมหาศาลในบางช่วงบางตอนของชีวิต  อย่างไรก็ตาม  บ่อยครั้งเขาก็ขาดทุนจนล้มละลาย  โชคไม่ดีที่การล้มละลายครั้งสุดท้ายของเขาทำให้เขาตัดสินใจฆ่าตัวตาย

ผมเองคิดว่า  ถ้าจะรวยจากหุ้นโดยที่ไม่ได้มีเงินตั้งต้นมากและไม่ได้มีเวลาในการลงทุนยาวพอ  สิ่งที่ต้องทำก็คือ  การลงทุนแบบ Focus หรือลงทุนอย่างกระจุกในหุ้นน้อยตัวเพื่อที่จะสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าปกติ  แต่นี่ก็ต้องรับความเสี่ยงที่สูงขึ้น  และวิธีที่จะลดความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ก็คือ การลงทุนแบบ Value Investment  “พันธุ์แท้”  แบบ วอเร็น บัฟเฟตต์ หรือ เบน เกรแฮม  ที่เน้นการลงทุนในหลักทรัพย์ที่มี Margin Of Safety สูง ซึ่งความหมายก็คือ ซื้อหุ้นที่มีมูลค่าที่แท้จริงวัดจากผลประกอบการในระยะยาวเทียบกับราคาหุ้นที่จะต้องต่ำกว่ามากพอ  ไม่ใช้มาร์จินหรือการกู้เงินเกินกว่าเงินลงทุนของตนเอง

ประเด็นว่าเราควรถือหุ้นหลัก ๆ  กี่ตัวและในจำนวนเท่าไรนั้น  คงไม่มีสูตรที่ตายตัวและอาจจะขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละคน  โดยส่วนตัวผมเองนั้น  ในช่วงเวลากว่า 20 ปีของการลงทุนเต็มร้อยแบบ VI นั้น  หุ้นที่ใหญ่ที่สุด 5 ตัวของผมนั้นคิดเป็นประมาณ 70% ของพอร์ตทั้งหมดเกือบตลอดเวลา  อย่างไรก็ตาม  มีช่วงเวลาน้อยมากที่หุ้นใหญ่ที่สุดจะมีขนาดถึง 50% ของพอร์ตโดยรวม  ผมเองคิดว่าผมลงทุนแบบค่อนข้างกระจุกแบบนี้มานานมากโดยที่ไม่ได้วางแผนมาก่อน  มันเกิดขึ้นหลังจากผมลงทุนไปแล้วและมันก็น่าจะดีโดยเฉพาะในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา  ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นก็ดูเหมือนว่าจะไม่สูงเพราะผลตอบแทนของพอร์ตโดยรวมนั้นติดลบเพียง 3 ปี ใน 22 ปีและก็ขาดทุนไม่มาก  อย่างไรก็ตาม  นี่อาจจะเป็นเรื่อง  “บังเอิญ”  เฉพาะอย่างยิ่งในช่วงกว่า 20 ปีที่ผ่านมานั้นมันอาจจะเป็น  “ยุคทองของหุ้น VI” ที่ทำให้หุ้น VI ที่ผมลงนั้นให้ผลตอบแทนดีผิดปกติและไม่ค่อยตกลงมาแรงเลย  สถานการณ์แบบนี้อาจจะกำลังเปลี่ยนไป  หุ้นหลัก 5 ตัว อาจจะเสี่ยงเกินไป  อาจจะต้องเป็น 10 ตัวหรือ 12 ตัว ซึ่งมีการศึกษาพบว่าสามารถกระจายความเสี่ยงได้ดีมากเมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่จะได้รับ  ส่วนเรื่องหุ้นตัวใหญ่สุดเองนั้น  50% ก็คงเป็นตัวเลขที่สูงเกินไปแน่นอน  ผมเองคิดว่าหุ้นตัวเดียวไม่ควรเกิน 30% ของพอร์ต  อย่างไรก็ตาม  นี่คงขึ้นอยู่กับตัวหุ้นเองด้วยว่าเป็นหุ้นที่ปลอดภัยแค่ไหน

การลงทุนแบบกระจายหุ้นไปมาก ๆ  รวมถึงการซื้อกองทุนอิงดัชนีนั้น  ผมคิดว่าเป็นวิธีที่น่าสนใจขึ้นเรื่อย ๆ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดหรือในหุ้นที่เราไม่รู้จักมากนักเช่นในต่างประเทศ  ผมเองช่วงที่เข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียตนามนั้น  ทางเลือกที่จะถือกองทุนรวมยังไม่ค่อยมีและผมเองก็ไม่ค่อยตระหนักนัก  การลงทุนของผมจึงเป็นการกระจายหุ้นมากเกินไปและในหุ้นขนาดเล็กที่ผมพบภายหลังว่าไม่ค่อยมีอนาคต  นั่นทำให้ผลการลงทุนไม่น่าประทับใจ  ในตอนนี้ถ้าผมเลือกได้ผมคงไม่ทำอย่างนั้น  ผมคงเลือกที่จะ Focus ซื้อหุ้นน้อยตัวแบบที่ทำในตลาดหุ้นไทย  หรือไม่ก็ลงทุนในกองทุนรวมที่เริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ  ผมยังคงไปลงทุนในเวียตนามแน่นอน  มันไม่ใช่แค่เรื่องของผลตอบแทนแต่รวมถึงการกระจายการลงทุนจากตลาดหุ้นไทยที่จะช่วยลดความเสี่ยงของพอร์ตด้วย

ที่มาบทความ: https://portal.settrade.com/blog/nivate/2019/09/09/2201

TSF2024