วิธีเลือกตลาดหุ้นลงทุน 

ด้วยโลกของการลงทุนที่เปิดกว้างขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนสำหรับนักลงทุนไทย  ประกอบกับการที่ตลาดหุ้นไทยมีผลงานการลงทุนที่ “ย่ำแย่” คือแทบไม่ให้ผลตอบแทนเลยมาเป็นเวลา 7-8 ปีแล้ว  การเคลื่อนย้ายเม็ดเงินลงทุนไปยังตลาดอื่น ๆ  ทั่วโลกจึงเป็นสิ่งที่มีเหตุผลและนักลงทุนจำนวนไม่น้อยก็ได้เริ่มออกไปลงทุน  หลาย ๆ  คนได้ผลตอบแทนที่ดีมากในช่วงเร็ว ๆ  นี้  อย่างไรก็ตาม  มีคำถามว่าตลาดหุ้นที่ไปลงนั้น  จะดีต่อไปอย่างยั่งยืนหรือเปล่า  เรามีทางวิเคราะห์ว่าตลาดไหนน่าลงทุนในระยะยาว เป็นสิบ ๆ ปีหรืออย่างน้อย 5 ปีขึ้นไปโดยที่มีความเสี่ยงต่ำที่จะขาดทุนหรือให้ผลตอบแทนน้อยกว่าในตลาดหุ้นไทยสำหรับผมเอง  มีวิธีการคิดดังต่อไปนี้

ประเด็นแรกก็คือ  เราจะต้องดูการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศก่อนว่าจะเติบโตเร็วและยาวนานไปอย่างน้อยก็ต้อง 10 ปีขึ้นไปหรือเปล่า  เพราะเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ  นั้นก็มักจะทำให้ตลาดหุ้นเติบโตขึ้นตามกันไป  ประเด็นที่สองก็คือ  ขนาดของเศรษฐกิจก็จะต้องใหญ่พอที่จะรองรับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นที่จะเติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ  และในยุคใหม่ของโลกในวันนี้  ประเทศที่มีคนน้อยเกินไปก็มักจะไม่สามารถที่จะมีเศรษฐกิจที่ใหญ่มากได้  เพราะคนก็คือทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของประเทศในโลกปัจจุบันที่ทรัพยากรอื่น ๆ  นั้นสามารถเคลื่อนไหวไปได้อย่างสะดวกทั่วโลก  สูตรของผมสำหรับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจระยะยาวก็คือ   หนึ่ง  ประเทศจะต้องมีระบบการปกครองที่เอื้ออำนวยต่อการทำธุรกิจ  สอง  จะต้องมีกำลังคนหรือแรงงานที่เป็นหนุ่มสาวเพิ่มขึ้น  และสามก็คือ  คุณภาพของคนจะต้องดี  อาจจะวัดจาก IQ และการศึกษาของคนในประเทศนั้น  ถ้าขาดข้อใดข้อหนึ่ง  ศักยภาพของประเทศก็จะจำกัด  โตได้ถึงจุดหนึ่งก็จะหยุด

ด้วยกรอบความคิดดังกล่าว  ผมได้นำมาใช้ในการประเมินเศรษฐกิจและตลาดหุ้นของหลาย ๆ ประเทศออกมาเป็น 3 กลุ่ม  เรียกว่า ประเทศหรือตลาดหุ้นแห่งอดีต  ปัจจุบัน  และประเทศหรือตลาดหุ้นแห่งอนาคต  โดยพวกที่เป็น “อดีต”  นั้นก็คือประเทศและตลาดหุ้นที่จะไม่เติบโตและจะค่อย ๆ  ถดถอยและมีความสำคัญในโลกน้อยลงเรื่อย ๆ  พวกที่เป็น “ปัจจุบัน” นั้น  ยังเป็นสังคมที่ยิ่งใหญ่และมีบทบาทสูง  หลายแห่งก็ยังอาจจะเติบโตต่อไปได้บ้าง  แต่หลายแห่งก็อาจจะเริ่มถดถอยลงอย่างช้า ๆ   ส่วนประเทศและตลาดหุ้นแห่ง “อนาคต”  นั้น  ปัจจุบันอาจจะยังไม่ยิ่งใหญ่แต่การเติบโตเร็วมากและจะกลายเป็นประเทศหรือตลาดที่มีความสำคัญมากขึ้นมากในอนาคต

ในการแบ่งกลุ่มนั้น  ผมจะอาศัยดัชนีตลาดหุ้นของประเทศเป็นตัววัด  ผลงานการเติบโตของดัชนีตลาดหุ้นระยะยาวนั้น  ผมคิดว่าสามารถบอกถึงสถานะของประเทศได้  แน่นอนว่ามันเป็นสิ่งที่บอกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว  อนาคตอาจจะไม่เหมือนกับอดีต  แต่ในกรณีของประเทศที่ก็คือ  “คน” ผมคิดว่าคนนั้น  ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว  อายุขัยและอัตราการเกิดเป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้  เรื่องของคุณภาพก็ไม่ได้เปลี่ยนเพราะส่วนใหญ่แล้วก็กำหนดโดยยีนซึ่งเปลี่ยนช้ามาก  ส่วนในเรื่องของ “ระบบ” การปกครองเองนั้น  แม้ว่าจะมีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้เร็วหรือรุนแรง  แต่ในโลกยุคปัจจุบันที่ข้อมูลข่าวสารกระจายไปทั่วโลกโดยที่แทบไม่มีต้นทุน  ระบบที่จะขัดแย้งกับความต้องการของคนก็จะอยู่ได้ยากมาก  ดังนั้น  สถานะของประเทศและตลาดหุ้นที่เราเห็นในวันนี้ก็น่าจะดำเนินต่อไปอีกอย่างน้อยก็ 10 ปีขึ้นไป

ประเทศหรือตลาดหุ้นกลุ่มแรกก็คือ “Past” หรืออดีต  ประเทศแรกก็คือ  อังกฤษ  นี่คือประเทศที่เคยยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในศตวรรษที่ 19  แต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 แล้ว  อังกฤษก็ตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว  ดัชนีตลาดหุ้นฟุตซี่ของลอนดอนตั้งแต่ปี 1984 ถึงปัจจุบันคือต้นเดือนมีนาคม 2021 คิดเป็นเวลาประมาณ 36.9 ปี เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 5% แบบทบต้น  อีกประเทศหนึ่งก็คือ  ญี่ปุ่น  ซึ่งในช่วงที่ผมยังเป็นเด็กอายุ 10 ขวบจนถึงอายุ 37 ปี  หรือระหว่างปี 1963 ถึง 1990 เคยเป็นประเทศ  “แห่งอนาคต” คนเชื่อว่าญี่ปุ่นจะ  “ครองโลก” และสามารถท้าทายอเมริกาทางด้านเศรษฐกิจได้  ดัชนีนิกเกอิปรับตัวจาก 1,200 จุดเป็น 38,900 จุด ให้ผลตอบแทนปีละ 12.6% แบบทบต้นในช่วงเวลา 27 ปี  อย่างไรก็ตาม  หลังจากนั้นประเทศและตลาดหุ้นก็ตกต่ำลงมาตลอด อานิสงค์จากคนที่แก่ตัวลง  ถึงวันนี้  ดัชนีอยู่ที่ 28,900 จุด หรือลดลง 10,000 จุด ในช่วงเวลา 30 ปี  โดยรวมแล้ว  ในช่วงเวลา 58 ปี  ดัชนีให้ผลตอบแทนทบต้นปีละ 5.6% ใกล้เคียงกับของอังกฤษ

ประเทศหรือตลาดหุ้นที่เป็น  “Present” หรือ ปัจจุบัน  ประเทศแรกก็คือ  อเมริกา  นี่คือประเทศหมายเลขหนึ่งของโลกในแทบจะทุกด้านตั้งแต่เริ่มสงครามโลกครั้งที่ 1 ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20  ดัชนีดาวโจนส์ซึ่งเป็นตัวแทนของบริษัทยักษ์ใหญ่ของประเทศในช่วง 40 ปีที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นจากประมาณ 965 จุดเป็น 31,392 คิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละประมาณ 9.1% ในขณะที่ดัชนี S&P 500 ซึ่งเป็นตัวแทนของหุ้น “ทั้งประเทศ” เติบโตขึ้นจาก 130 จุดเป็น 3,870 จุด ให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกันที่ 8.9%

ประเทศที่สองคือเยอรมัน  นี่คือประเทศที่ยิ่งใหญ่และมีพลังแข็งแกร่งที่สุดในยุโรปแม้ว่าจะแพ้สงครามโลกมาทั้งสองครั้ง  ดัชนีตลาดหุ้น DAX จากปี 1988 ถึงปัจจุบันเป็นเวลา 33 ปีให้ผลตอบแทนปีละ 8.6% แบบทบต้น  พอ ๆ  กับดัชนี S&P 500  ประเทศที่ 3 และ 4  คือเกาหลีและไต้หวัน  นี่คือประเทศที่ยุคหนึ่งถูกเรียกว่า “ประเทศอุตสาหกรรมใหม่” ที่ถึงวันนี้มีศักดิ์ศรีไม่แพ้ “ประเทศอุตสาหกรรม” หรือประเทศพัฒนาแล้วทั้งหลาย  ดัชนีตลาดหุ้นของเกาหลีตั้งแต่ปี 1980 ถึงปัจจุบันเป็นเวลา 41 ปี เพิ่มขึ้นจาก 100 เป็น 3,082 จุด ให้ผลตอบแทนทบต้นปีละ 8.7%  ส่วนดัชนีตลาดหุ้นไต้หวันจากปี 1979 ถึง ปัจจุบันเป็นเวลา 42 ปี เพิ่มขึ้นจาก 451 เป็น 16,212 จุด ให้ผลตอบแทนทบต้นปีละ 8.9% ใกล้เคียงกับของเกาหลีมาก  และใกล้เคียงกันทุกประเทศในกลุ่มประเทศ  “ปัจจุบัน”

ประเทศหรือตลาดหุ้นแห่งอนาคตหรือ  “Future”  ประเทศแรกก็ต้องยกให้จีน ซึ่งก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วที่สุดจากประเทศ “ยากจนมาก” แม้ในสายตาของคนไทยเมื่อประมาณแค่ 30 ปีก่อน  ปัจจุบันนี้คนจำนวนมากเชื่อว่าจีนจะสามารถแข่งกับอเมริกาได้  และศตวรรษที่ 21 อาจจะเป็นของจีน  ดัชนีเซี่ยงไฮ้จากปี 1991 ถึงปัจจุบันเป็นเวลา 30 ปีเพิ่มขึ้นจาก 100 เป็น 3,577 จุดให้ผลตอบแทนทบต้นปีละ 12.6%  ขณะที่ดัชนีเสิ่นเจิ้น จากปี 1995 ถึงวันนี้เป็นเวลา 25.4 ปีเพิ่มขึ้นจาก 100 เป็น 2,332 จุด หรือเพิ่มขึ้นปีละ 13.2% แบบทบต้น

ประเทศ “แห่งอนาคต” อีก 2 ประเทศนั้นผมคิดว่าน่าจะเป็นเวียตนามที่เศรษฐกิจร้อนแรงมากช่วงเร็ว ๆ  นี้ หลังจากเปิดประเทศและปรับเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจเป็นทุนนิยมตามแบบจีน  ดัชนีตลาดหุ้นตั้งแต่ปี 2000 ถึงปัจจุบันเป็นเวลา 21 ปี เพิ่มขึ้นจาก 100 เป็น 1,180 หรือให้ผลตอบแทนทบต้นปีละ 12.7% ใกล้เคียงกับของจีน  อีกประเทศหนึ่งก็คือ  อินเดีย ซึ่งเศรษฐกิจเติบโตเร็วขึ้นมากและจากการที่เป็นประเทศที่มีคนมากและจะมากที่สุดในโลกในอนาคตอันใกล้  ดัชนีหุ้นตั้งแต่ปี 1979 ถึงปัจจุบันเป็นเวลา 42 ปี ปรับตัวขึ้นถึงปีละ 16% แบบทบต้น

ในกรณีของตลาดหุ้นไทย  ดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นจากปี 1975 ถึงปัจจุบันเป็นเวลา 46 ปี  จาก 100 เป็น 1,544 จุด ให้ผลตอบแทนปีละเพียง 6.1% แบบทบต้น  ดีกว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่นเพียงเล็กน้อย   ผมเองก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่าตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดแห่ง  “อดีต” หรือไม่  หรือเรายังเป็นตลาดแห่ง  “ปัจจุบัน” อยู่  เพียงแต่ว่าช่วงหลายปีมานี้เรามีปัญหาที่ทำให้เศรษฐกิจและตลาดหุ้นไม่ไปไหนเลยทำให้ผลตอบแทนดัชนีตลาดดูต่ำลง  อย่างไรก็ตาม  เราคงไม่สามารถเป็นตลาดแห่ง  “อนาคต” ได้แน่  เหตุผลก็เห็นได้ชัดว่าเกิดจากการที่สังคมไทยกำลังแก่ตัวลงอย่างรวดเร็วคล้าย ๆ ญี่ปุ่น

มองดูเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย  ดัชนีในช่วง 39 ปีจากปี 1982 ให้ผลตอบแทนแค่ 4.2%  สิงคโปร์จากปี 1988 เป็นเวลา 33 ปียิ่งให้ผลตอบแทนที่แย่กว่าคือเพียง 4% แบบทบต้น  ทั้งสองแห่งนี้ผมคิดว่าเกิดจากการที่เป็นประเทศเล็กมีคนน้อยเกินไป  อีกแห่งคืออินโดนีเซีย  ซึ่งในช่วง 31 ปี จากปี 1990 ให้ผลตอบแทนปีละ 7.8% แบบทบต้น  น้อยกว่าประเทศหรือตลาดที่เป็น Present เล็กน้อย  ดังนั้นผมคิดว่าอินโดนีเซียอาจจะพอมีอนาคตและไม่ใช่เป็น Past แน่นอน

กล่าวโดยสรุปก็คือ พวกตลาดหุ้นที่เป็น Past ผลตอบแทนทบต้นที่คาดหวังระยะยาวอาจจะอยู่ที่ปีละประมาณ 5-6%  พวกที่เป็น Present 8-9% และพวกที่เป็น Future 12-13และไม่ควรลงในประเทศที่เล็กเกินไปเพราะตลาดหุ้นจะไม่ดีแม้ว่าประเทศจะเจริญเติบโตอย่างสิงคโปร์และมาเลเซีย

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ที่มาบทความ: https://blog.settrade.com/blog/nivate/2021/03/08/2475

TSF2024