ปรากฏการณ์อย่างหนึ่งในตลาดหุ้นไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมาและดูเหมือนว่าจะเข้มข้นขึ้นในช่วงเร็ว ๆ นี้ก็คือ การเล่นหุ้นเก็งกำไรที่มีฟรีโฟลทต่ำโดยอาศัย “ธีม” หรือเรื่องราวที่คนพูดถึงกันทั่วไปว่าจะเป็น “แนวโน้มใหม่” ของธุรกิจที่จะเติบโตและทำเงินให้แก่บริษัทจดทะเบียนที่เข้าไปทำหรือเกี่ยวข้องด้วย อย่างเช่นเรื่องของ “กัญชง-กัญชา” ที่เพิ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายให้เป็นพืชสมุนไพรที่สามารถนำมาผสมหรือสร้างผลิตภัณฑ์ขายให้แก่ผู้ใช้หรือผู้บริโภคได้จากการที่เคยเป็นพืชที่เป็น “ยาเสพติด” ต้องห้ามที่คนรุ่นเก่าหลายคนโดยเฉพาะที่เป็น “ศิลปิน” ชอบที่จะใช้เพื่อช่วยเสริม “จินตนาการ” ในการทำงาน ว่าที่จริงในอดีต ช่วงที่เกิดปรากฏการณ์ “เสรีนิยม” ของคนรุ่นใหม่ ซึ่งนำไปสู่การต่อต้านสงครามเวียตนามของเหล่า “ฮิปปี้” หรือ “บุปผาชน” ที่ “ต่อต้านสังคม” โดยการไว้ผมยาวและทำตัวสกปรก “ไร้สาระ” ในช่วงทศวรรษ 1960-1970 หรือเมื่อประมาณ 50-60 ปีมาแล้วนั้น กัญชาก็คือสิ่งที่พวกเขาใช้เป็น “ยากล่อมประสาท” หลัก
ประเทศไทยในช่วงนั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นประเทศ “อนุรักษ์นิยม” สุด ๆ แต่เราก็มีเด็กวัยรุ่นบางส่วนที่ทำตัวเป็น “ฮิปปี้” อยู่เหมือนกันแม้จะไม่ค่อยรู้ความหมายที่แท้จริงว่าฮิปปี้คืออะไร ส่วนตัวผมเองนั้น ช่วงที่กำลังเติบโตเป็นวัยรุ่นเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ปรากฏการณ์ของฮิปปี้ก็เริ่มซาลงแล้ว ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะว่าสงครามเวียตนามกำลังจบลง อย่างไรก็ตาม กัญชาก็กลายเป็นสิ่งที่สังคมไทยเริ่มรับรู้ว่าเป็น “ยาเสพติดแบบอ่อนที่ไม่ได้ติดง่าย ๆ” และไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายโดยเฉพาะถ้าเสพเป็นครั้งคราว นอกจากนั้น การหาก็ไม่ได้ยาก ว่าที่จริงผมเองก็เคยลองสูบกัญชากับเพื่อน ๆ เป็นครั้งคราวโดยเฉพาะเวลาไปเที่ยวหรือทำกิจกรรมต่างจังหวัด ถ้าจำไม่ผิด ในสมัยนั้นการปลูกหรือใช้กัญชาน่าจะมีโทษน้อยมาก ซึ่งต่อมาเมื่อประเทศไทยมีปัญหาเรื่องยาเสพติดรุนแรง กัญชากลับกลายเป็นยาเสพติดร้ายแรงจนถึงเมื่อเร็ว ๆ นี้ แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร กัญชาก็กลายเป็นพืชที่มีความ “คลาสสิก” และ “ท้าทาย” ให้คนอยากลองใช้ อย่างน้อยก็คนรุ่นผมในช่วงนั้น
และนั่นก็ทำให้เกิดกระแส “กัญชง-กัญชา” ขึ้นในสังคมไทยเมื่อรัฐบาลบอกว่าบริษัทต่าง ๆ สามารถผลิตและขายผลิตภัณฑ์ของมันได้แล้ว ความ “กระตือรือร้น” เกิดขึ้นในช่วงข้ามคืน คนคิดว่าบริษัทจดทะเบียนโดยเฉพาะที่เป็นบริษัทขนาดเล็กที่มีความพร้อมที่จะผลิตและขายผลิตภัณฑ์ซึ่งสามารถที่จะนำไปผสมกับอาหารและเครื่องดื่มสารพัดนอกเหนือจาก “ยา” จำนวนมาก จะสามารถสร้างรายได้และกำไรมหาศาล พวกเขามองไกลออกไปถึงตลาดทั่วโลกที่ “น่าจะ” มีความต้องการผลิตภัณฑ์กัญชง-กัญชาจำนวนมากจากประเทศไทยที่จะมีเหลือเฟือจากการปลูกในพื้นที่ประเทศไทยที่ “เหมาะสม” กับพืชชนิดนี้มากไม่แพ้ที่ใดในโลก นักการเมืองเองก็ “ขายความฝัน” ให้กับคนไทยว่าอาจจะมีโอกาสปลูกกัญชากันบ้านละ 4-5 ต้นซึ่งจะทำให้มีรายได้เป็นกอบเป็นกำโดย “ไม่ต้องออกแรง” ดังนั้น “กัญชง-กัญชา จึงเป็น ยาวิเศษ แก้ปัญหาได้สารพัด”
ราคาหุ้นของบริษัทที่พร้อมและประกาศว่าจะทำผลิตภัณฑ์กัญชาขายต่างก็วิ่งกันเป็นว่าเล่น และนั่นก็ทำให้บริษัทที่ไม่ได้มีความพร้อมอะไรเป็นเรื่องเป็นราว เช่น มีแค่ที่ดินว่างเปล่าเหลืออยู่และประกาศว่าจะเข้ามาปลูกและทำผลิตภัณฑ์กัญชาราคาหุ้นก็ขึ้นเช่นเดียวกัน ไม่ต้องพูดถึงบริษัทผลิตเครื่องดื่มทั้งหลาย ที่ต่างก็ออกมาประกาศว่าเตรียมออกผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มผสมกัญชง-กัญชา ซึ่งก็ทำให้หุ้นวิ่งขึ้นไปทันที และก็แน่นอนว่าบริษัทผลิตอาหารจำนวนมากต่างก็ขอ “เกาะ” กระแสกัญชา โดยการเตรียมออกผลิตภัณฑ์อาหารผสมกัญชา ถึงจุดนี้ทุกบริษัทที่สามารถเกี่ยวข้องกับกัญชง-กัญชาได้ ต่างก็ประกาศว่าจะทำกัญชา ซึ่งรวมถึงบริษัทขายเครื่องสำอาง โรงพยาบาล และแม้แต่คนทำซอสต่างก็บอกว่าจะทำผลิตภัณฑ์นี้ และ สุดท้ายก็คือ บริษัทที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับกัญชาเลยแต่เจ้าของเน้น “การเติบโต” โดยเฉพาะของราคาหุ้น ก็ขอทำธุรกิจกัญชาด้วย โดยรวมแล้ว น่าจะไม่ต่ำกว่า 20 บริษัท ส่วนเหตุผลที่หุ้นวิ่งขึ้นไปแทบจะทุกตัวก็คือ
ประการแรก ตลาดหุ้นในช่วงเร็ว ๆ นี้เป็นตลาดหุ้นที่มีการเก็งกำไรร้อนแรงจากนักลงทุนส่วนบุคคล แต่หุ้นขนาดใหญ่นั้นราคาปรับตัวน้อยมากเนื่องจากคนเล่นส่วนใหญ่คือต่างชาติ ดังนั้น นักลงทุนจึงมองหาหุ้นที่จะสามารถปรับตัวขึ้นได้อย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น “ทุกวัน” ซึ่งหุ้นที่จะเป็นแบบนั้นได้จะต้องมีความต้องการหรือแรงซื้อมากกว่าจำนวนที่จะขายมากในระยะเวลาสั้น ๆ ซึ่งหุ้นที่เข้าข่ายนั้นควรจะต้องมีฟรีโฟลทน้อยในขณะเดียวกันจะต้องมีเรื่องราวน่าสนใจในแง่ผลประกอบที่จะต้องดีขึ้นในระยะเวลาอันสั้นในสายตาของนักเล่นหุ้น และปรากฏการณ์ของธุรกิจกัญชง-กัญชา ก็คือคำตอบ นั่นก็คือ เป็นหุ้นที่มีธีมหรือมี “สตอรี่” ที่จะ “โตจากกัญชา” และเป็นหุ้นตัวเล็กมีฟรีโฟลทน้อย หุ้นที่ “เข้าข่าย” แม้ว่าจะมีจำนวนมากก็ไม่ได้มีปัญหา เพราะคนที่ “เล่นหุ้นเก็งกำไร” มีเป็นหมื่นเป็นแสนคน และแม้ว่าจะลงทุนกันคนละไม่มาก แต่รวมกันแล้วปริมาณเม็ดเงินที่เข้ามาเล่นหุ้นเป้าหมายก็จะมากมหาศาล ผลก็คือ เกิดสภาวะการณ์การ “Corner” หุ้นแทบจะโดยอัตโนมัติ ราคาหุ้นจึงมีแต่จะต้องวิ่งขึ้นอย่างแรง
เวลาที่หุ้นขึ้นไปแรงนั้น โดยธรรมชาติของ “นักเก็งกำไร” พวกเขาก็จะเข้าไปซื้อหุ้นมากกว่าที่จะขาย การประเมินมูลค่าพื้นฐานของกิจการว่าควรจะเป็นเท่าไรนั้น เป็นประเด็นรอง ดังนั้น ราคาหุ้นก็มักจะเพิ่มสูงขึ้นไปอีก การเพิ่มสูงขึ้นไปของราคาก็จะยิ่งดึงดูดให้นักเก็งกำไรกลุ่มต่อไปเข้ามาซื้อหุ้นทำให้หุ้นมีราคาวิ่งขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตาม เมื่อราคาขึ้นไปถึงจุดหนึ่งก็จะมีคนที่ทำกำไรได้มากแล้วเริ่มขายหุ้นทำให้หุ้นปรับตัวลงมาบ้าง เช่นเดียวกับคนที่วิเคราะห์พื้นฐานของหุ้นและลงทุนในหุ้นนั้นก็อาจจะขายหุ้นเมื่อ “ราคาเกินพื้นฐานไปแล้ว” อย่างไรก็ตาม นี่เป็นคนกลุ่มน้อย เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ คนที่คิดถึงเรื่องมูลค่าพื้นฐานจำนวนมากนั้น ก็มักจะมีความ “ลำเอียง” เมื่อตนเองถือหุ้นไว้แล้วและเมื่อราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปมากก็มักคิดว่าหุ้นขึ้นไปเพราะพื้นฐานของมัน “ดีขึ้นมาก” จนเหมาะสมกับราคาที่ขึ้นไปสูงมากนั้น ผลก็คือ เมื่อราคาหุ้นขึ้น “Corner” ก็ไม่ “แตก” คนไม่ขายแม้ว่าหุ้นจะขึ้นไปเกินพื้นฐานมากและมากขึ้นเรื่อย ๆ และอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานานตราบที่เรื่องราวหรือ Story “ยังไม่จบ”
ตลาดหุ้นไทยในช่วงหลาย ๆ ปีที่ผ่านมานั้น มี “ธีม” มากมายเกิดขึ้นและก็ผ่านไปและก็มีธีมใหม่ขึ้นมารองรับกับนักเก็งกำไรที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ไม่เคยหยุดแม้เกิดภาวะวิกฤติโควิด-19 อานิสงส์จากเม็ดเงินที่ไหลบ่าเข้าสู่ตลาดหุ้นเพราะอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมากและคนไม่มีช่องทางลงทุนที่ดีให้เลือกนอกจากตลาดหุ้นที่ยังให้ผลตอบแทนที่ดีพอใช้อยู่และมีแรงดึงดูดจากการที่มีโอกาสทำผลตอบแทนสูงผิดปกติจากการเล่นหุ้นเก็งกำไรโดยเฉพาะหุ้นขนาดเล็กหรือมีฟรีโฟลทต่ำ ผลจากการนี้ก็คือ หุ้นที่มีธีมและ “เข้าสเป็ค” ของหุ้นเก็งกำไรนั้น มักจะมีราคาที่สูงหรือแพงผิดปกติ กลายเป็น “หุ้นปั่น” และแม้ว่าในที่สุด เมื่อธีมของหุ้นผ่านพ้นไปและ Corner อาจจะ “แตก” ไปแล้ว ราคาหุ้นที่ตกลงลงมาอย่าง “หายนะ” ก็อาจจะยังสูงเกินกว่าพื้นฐานไปมากอยู่ดี ลองย้อนหลังกลับไปดูราคาของหุ้นเหล่านั้นก็มักจะพบว่าค่า PE ก็ยังสูงระดับ 30-40 เท่าขึ้นไปเป็นเรื่องปกติ นั่นอาจจะเป็นเรื่องของภาพพจน์และความทรงจำของนักลงทุนที่มีเกี่ยวกับตัวหุ้นและราคาหุ้นที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปหมด ตัวอย่างเช่น ถ้าหุ้นเคยขึ้นไปที่ราคาเกือบ 100 บาท ราคาปัจจุบันที่ต่ำกว่า 20-30 บาทจึงไม่น่าจะแพงได้ ดังนั้น จึง “ขายไม่ลง” ราคาหุ้นจึงยังแพงอยู่ได้
มองในแง่ของคนที่คำนึงถึงพื้นฐานของกิจการเองนั้น บ่อยครั้ง ถ้าเขาเคย “เชื่อ” เสียแล้วว่าหุ้นนั้นเป็นบริษัทที่ “ดีเยี่ยม” เป็นหุ้นที่เคยมีสตอรี่และราคาหุ้นขึ้นไปราวกับ “ซุปเปอร์สต็อก” ที่มีการเติบโตสูงมาก แต่วันนี้ความจริงดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนแปลงไป อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนที่เคยเข้าไปลงทุนแล้ว นี่ก็ยังเป็นบริษัทที่ดีเมื่อเทียบกับหุ้นที่ไม่เคยปรับตัวโดดเด่นเป็น “ดารา” เลย ดังนั้น “คุณภาพ” ของบริษัทก็น่าจะยังโดดเด่นเมื่อเทียบกับบริษัทอื่น วันดีคืนดีหุ้นก็มีโอกาส “กลับมาใหม่” ราคาหุ้นที่ PE 30-40 เท่าก็อาจจะ “ไม่แพง” และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งว่า หุ้นที่ “เคยวิ่ง” เป็นจรวดมักจะไม่เคยถูกเลยแม้ว่าเหตุผลต่าง ๆ ที่ทำให้มันวิ่งนั้นผ่านไปนานแล้ว
ผมเองเชื่อว่าหุ้นที่เล่นกันด้วยธีม “กัญชง-กัญชา” ก็คล้าย ๆ กับธีมในอดีตที่ผ่านมา แล้วในที่สุดก็จะผ่านไป คือหุ้นขึ้นไปมากแล้วสุดท้ายก็ตกลงมาแรงมากพอ ๆ กัน คนที่ได้กำไรมหาศาลมีน้อยรายและเป็น “ผู้นำ” ในการ “ปั่น” ส่วนผู้ที่ขาดทุนนั้นส่วนใหญ่ก็มักจะไม่ได้ขาดทุนมากแต่มีจำนวนมาก พวกเขาคือคนที่อาจจะ “หาหุ้นเล่นทุกวัน” และมีความสุขที่ได้เล่น หมดจากธีมกัญชาก็จะหาธีมใหม่ไปเรื่อย ๆ วัฎจักรของการลงทุนหรือเล่นหุ้นของตลาดหุ้นไทยก็เป็นแบบนี้
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ที่มาบทความ: https://blog.settrade.com/blog/nivate/2021/03/22/2482