ช่วงประมาณ 1-2 ปีที่ผ่านมามีปรากฏการณ์ของหุ้นตัวเล็กถึงกลางกลุ่มหนึ่งที่มีเส้นทางหรือพฤติกรรมที่น่าสนใจมากควรแก่การศึกษาเพื่อเป็นบทเรียนให้กับนักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็น VI ได้เข้าใจถึงเรื่องของ “จิตวิทยา” และกระบวนการสร้างสรรค์ราคาหุ้นจนเกิดเป็น “ฟองสบู่” และ การ “แตก” ของฟองสบู่ที่ทำเงินให้คนบางคนมหาศาลและทำให้หลายคน “เจ๊ง” อย่างหนัก โดยที่ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในยามที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์เคลื่อนไหวเป็นปกติและมีความผันผวนน้อยมาก
หุ้นในกลุ่มนี้น่าจะมีไม่น้อยกว่า 10 ตัว ทุกตัวเป็นบริษัทที่มีกำไรค่อนข้างดีถึงดีมากวัดจากฐานะทางการเงินที่มีหนี้น้อยส่วนหนึ่งเพราะขายสินค้าเป็นเงินสด ส่วนใหญ่ขายสินค้าผู้บริโภคที่มียี่ห้อดีหรือบางตัวดีมากทำให้มีกำไรต่อยอดขายค่อนข้างสูง ผลกำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นก็ค่อนข้างสูงอานิสงค์ส่วนหนึ่งจากการที่บริษัทไม่ต้องใช้ทุนมากในการสร้างโรงงานหรืออาคารเพื่อผลิตหรือขายสินค้า นอกจากนั้น ผู้บริหารก็มักจะเป็นคนหนุ่มสาวและมักเป็นคนที่ก่อร่างสร้างบริษัทจากที่มีขนาดเล็กจนเติบใหญ่และนำบริษัทเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ชื่อเสียงวิสัยทัศน์และผลงานในการนำบริษัทไปสู่อนาคตที่จะเติบโตต่อไปนั้นดูเหมือนจะได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง
“การเติบโต” ซึ่งเป็นเหมือน “จอกศักดิ์สิทธิ” ของการลงทุนโดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดหุ้นบูม ของบริษัทเหล่านั้นก็ดูเหมือนจะดี เพราะหลังจากที่บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ กำไรของบริษัทก็เติบโต หลายตัวดู “ก้าวกระโดด” และแหล่งที่เติบโตนั้นดูเหมือนว่าจะมีศักยภาพที่สูงมากที่จะโตต่อไปได้อย่างไม่จำกัดอาทิเช่นจาก “ตลาดจีน” หรือจากธุรกิจหรือโครงการใหม่ ๆ ที่ยังมีโอกาสที่จะโตต่อไปได้มหาศาล ทั้ง ๆ ที่ก่อนเข้าตลาดหุ้นนั้น ส่วนใหญ่กำไรก็ไม่ได้โตอะไรนัก สินค้าหรือธุรกิจของบริษัทเองก็ไม่ได้เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่อะไรในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ในตลาดหุ้นนั้น ไม่มีใครสนใจอดีต “เราต้องมองไปข้างหน้า” อย่างลืมว่า “จินตนาการสำคัญกว่าความรู้—และความจริง”
เพียงแค่วันแรกที่เข้าตลาด หุ้นกลุ่มนี้ก็วิ่งขึ้นไปสูงลิ่ว บางตัวเป็นร้อย ๆ เปอร์เซ็นต์ก็มี มูลค่าการซื้อขายหุ้นสูงลิ่ว ตีความได้ว่าคนเข้ามาซื้อและขายหุ้นเปลี่ยนมือกันโดยเฉลี่ยแทบจะวันต่อวัน มูลค่าตลาดหรือ Market Cap. ของหุ้นจากราคา IPO ที่หลายพันล้านบาทในเวลาไม่นานก็กลายเป็นหมื่นล้านบาทและต่อมาก็กลายเป็นหลายหมื่นหรือเป็นแสนล้านบาทสำหรับหุ้นบางตัว เจ้าของหุ้นที่มักจะยังมีอายุน้อยเมื่อเทียบกับนักธุรกิจหรือเจ้าของหุ้นตัวอื่นกลายเป็นเศรษฐีหรือมหาเศรษฐี “ในชั่วข้ามคืน” จากตัวเลขความมั่งคั่งจากราคาหุ้น หลาย ๆ คนก็ทยอยขายหุ้นออกและรับเงินสดจริงแทนมูลค่าหุ้นที่อาจจะเปลี่ยนแปลงไปได้ในอนาคต เหตุผลในการขายหุ้นนั้นส่วนใหญ่ก็บอกว่าเพื่อที่จะ “เพิ่มสภาพคล่อง” ให้กับหุ้นทั้ง ๆ ที่หุ้นนั้นมีสภาพคล่องสูงจนล้นเกินอยู่แล้ว
ราคาและมูลค่าหุ้นที่สูงขึ้นมากและรวดเร็วประกอบกับการเพิ่มขึ้นของผลประกอบการของบริษัทประกอบกับเรื่องราวหรือสตอรี่ที่ก่อให้เกิด “จินตนาการ” ว่าบริษัทนั้นจะกลายเป็นบริษัท “ระดับโลก” ทำให้คนลืมคิดถึงความถูกความแพงของหุ้นที่กระโดดขึ้นจากราคา IPO ที่มีค่า PE ประมาณ 20-25 เท่าหรือบางตัว 30 เท่านั้น กลายเป็นหุ้นที่มี PE เป็น 50-100 เท่า ซึ่งแม้แต่หุ้นไฮเท็คที่เป็นซุปเปอร์สต็อกระดับโลกยังต้องอายไม่ต้องพูดถึงราคาหุ้นที่ขึ้นไปหลายเท่าหรือบางตัวขึ้นไปเป็น 10 เท่าในเวลาไม่กี่ปีนั้น ส่งผลให้หุ้นเหล่านั้นกลายเป็น “หุ้นนางฟ้า” ของนักลงทุนบางกลุ่มโดยเฉพาะที่เป็นนักลงทุนส่วนบุคคลรายใหญ่และสถาบันนักลงทุนเช่นพวกกองทุนรวมที่มีพลังเงินมหาศาลที่สามารถ Corner หรือกวาดซื้อหุ้นขนาดเล็กและกลางที่มีหุ้นหมุนเวียนจำนวนน้อยเหล่านั้นจนเกือบหมดได้
การปรากฏตัวเป็น “ผู้ถือหุ้นใหญ่” ของนักลงทุนรายใหญ่ที่เข้าไปซื้อหุ้นนางฟ้าเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ยิ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นว่าหุ้นเหล่านั้นดีจริงและราคายัง “ไม่แพง” และอาจจะเป็นตัวบอกว่านักลงทุนรายย่อยไม่ต้องห่วงว่าราคาจะลดลง แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ราคาจะวิ่งสูงขึ้นไปอีกอย่างรวดเร็วเพราะหุ้นส่วนใหญ่นั้นถูกเก็บไปจนเกือบหมดแล้ว ผลก็คือหุ้นก็ยิ่งปรับตัวขึ้นไปอีก ในไม่ช้านักลงทุนโดยเฉพาะรายใหญ่ที่เข้าไปเล่นก็กลายเป็น “เทพ” ที่เข้าไปเกี่ยวพันกับ “นางฟ้า” โดยที่นางฟ้านั้นดูเหมือนจะทยอยเกิดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามหุ้นใหม่ ๆ ที่มีคุณสมบัติคล้าย ๆ กัน เกือบทุกตัวที่เข้ามาจดทะเบียนในตลาดนั้นต่างก็มีพฤติกรรมราคาและเรื่องราวคล้าย ๆ กันนับถึงปัจจุบันน่าจะไม่ต่ำกว่า 10 บริษัท ซึ่งผมอยากจะเรียกว่าเป็นหุ้น “แก๊งนางฟ้า” ตามแบบที่ดาราสาวในวงการบันเทิงบางกลุ่มใช้เรียกตนเอง
นอกจากมีนางฟ้าและมีเทพแล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่จะทำให้ทุกอย่างดำเนินต่อไปถึงจุดสุดยอด (ราคาหุ้น) ได้ ที่สำคัญก็คือจะต้องมี “สวรรค์” และนี่ก็คือภาวะตลาดหุ้นและการเก็งกำไรที่เอื้ออำนวย และเวลาที่ว่าก็คือในช่วงตั้งแต่ไตรมาศสุดท้ายของปี 2560 ต่อเนื่องมาจนถึงประมาณเดือนเมษายนต่อเดือนพฤษภาคมปีนี้ซึ่งเป็นช่วงของการประกาศงบของบริษัทจดทะเบียนไตรมาศ 1 นี่คือช่วงเวลาที่หุ้นในกลุ่มหรือแก๊งนางฟ้าวิ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดซึ่งก็ “บังเอิญ” เป็นช่วงที่ตลาดหุ้นไทยกำลังวิ่งขึ้นเป็นเรื่องเป็นราวจากดัชนีประมาณ 1,500 กว่าจุดกลายเป็น 1,600 กว่าจุด 1,700 กว่าจุดและขึ้นไปถึง 1,800 กว่าจุดในเดือนกุมภาพันธ์ที่มีการประกาศงบปี 2560 พร้อม ๆ กับปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันที่เพิ่มขึ้นเป็นวันละ 6-70,000 ล้านบาทเป็นเรื่องปกติ ในเวลานั้นนักลงทุนต่างก็ “ฮึกเหิม” เนื่องจากดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ทะลุจุดสูงสุดตลอดกาลที่เกิดขึ้นเมื่อกว่า 20 ปีมาแล้ว
หลังจากการวิ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดของหุ้นในกลุ่มแก๊งนางฟ้าแต่ละตัวแล้ว หุ้นเหล่านั้นก็ทยอยปรับตัวลงอย่างแรงน่าจะพอ ๆ กับช่วงขาขึ้นและบางตัวแรงกว่า ส่วนใหญ่แล้วเหตุของการปรับตัวลงแรงนั้นมักจะไม่มีเหตุการณ์พิเศษอะไรนอกจากผลประกอบการที่น่าผิดหวังและข่าวลือหรืออาจจะ “Inside” หรือ “ข้อมูลภายใน” ว่าผลประกอบการจะ “ไม่ดี” ที่หนักหน่อยก็อาจจะเป็นเรื่องของความไม่โปร่งใสของผู้บริหารหรือข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว นอกจากนั้นก็อาจจะเป็นเรื่องของความเชื่อที่ว่า “รายใหญ่ขายหุ้น” เป็นต้น การตกลงมาของหุ้นนางฟ้านั้น ส่วนมากแล้วตกลงมาแรงมากอย่างน้อยก็หลายสิบเปอร์เซ็นต์ บางตัวตกลงมากว่าครึ่งของราคาที่เคยขึ้นสูงสุด บางตัวตกลงมาแรงกว่านั้นเช่นเหลือมูลค่าเพียง 20-30% ของราคาสูงสุด หุ้นนางฟ้าเกือบทุกตัวกลายเป็น “นางฟ้าตกสวรรค์” คนที่เข้าไปลงทุนโดยเฉพาะที่เข้าไปซื้อหุ้นในระดับ PE ที่สูงกว่า 50 เท่าขึ้นไปกลายเป็น “หายนะ” คนที่เข้าไปซื้อเร็วและขายออกไปก่อนซึ่งอาจจะรวมถึงนักลงทุนรายใหญ่ก็อาจจะยังได้กำไรมหาศาลแม้ว่าจะขายหลังจากที่หุ้นตกลงมามากแล้ว
คงยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังเข้าไป “ช้อนซื้อ” หุ้นที่ตกลงมามาก เช่น ตกลงมาครึ่งหนึ่งแล้วจาก “ยอดดอย” พวกเขาคิดว่ากิจการของบริษัทเป็นกิจการที่ดีหรือดีมาก ยังไงก็จะต้อง “เด้ง” หลายคนก็ไม่ได้ขายหุ้นเพราะยังเชื่อมั่นใน “พื้นฐาน” ของกิจการที่ “ดีเยี่ยม” เหนือสิ่งใด หุ้นที่ตกลงมานั้น “ตัวบริษัทไม่ได้เป็นอะไรมาก” ทั้งหมดนั้นผมเชื่อว่าเป็นเพราะนักลงทุนยังติดอยู่กับเรื่องเดิมหรือสตอรี่เดิมของบริษัทที่ถูกปล่อยออกมาพร้อม ๆ กับราคาหุ้นที่ขึ้นแรงจนเขาเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริงทั้งหมดและลืมคิดถึงราคาหุ้นที่สุดจะแพงเนื่องจากกระแสหุ้นเติบโตกำลังมาแรงในช่วงนั้น และในแนวคิดของ Growth Investment หรือการลงทุนในหุ้นเติบโตนั้น ราคาไม่ใช่ประเด็นของการซื้อหรือขายหุ้น พวกเขาคิดว่า หุ้นแพง PE สูง “เดี๋ยวกำไรก็โตทันและทำให้ค่า PE ลดลงมาเอง”
ผมไม่รู้ว่าอนาคตของ “หุ้นแก๊งนางฟ้า” จากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป สิ่งที่ผมคิดว่านักลงทุนจะต้องคิดก็คือ ลืมเรื่องทั้งหมดที่เราเคยรับรู้ในช่วงที่มันกลายเป็นหุ้นนางฟ้า ลองคิดใหม่และกลับไปดูความเป็นจริงที่ผ่านมาว่ามันโดดเด่นแค่ไหนจริง ๆ และโอกาสที่มันจะเติบโตได้มากน้อยแค่ไหนโดยที่อย่าจินตนาการโดยมองโลกในแง่ดีเกินไป เสร็จแล้วลองเปรียบเทียบกับราคาหุ้นในปัจจุบันว่าคุ้มค่าที่จะซื้อไหม เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ถ้าค่า PE ก็ยังเกิน 40-50 เท่าอยู่ดีก็จะต้องคิดหนักมากว่าควรซื้อหรือไม่โดยเฉพาะในยามที่ตลาดหุ้นไม่ใช่ “สวรรค์” อย่างที่เคยเป็น
ที่มาบทความ: thaivi.org