การปรับตัวของตลาดหุ้นสหรัฐและอีกหลายตลาดทั่วโลก (ยกเว้นตลาดหุ้นไทย) ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานั้นต้องถือว่ารุนแรงและน่ากลัวเนื่องจากดัชนีหุ้นดาวโจนส์ได้ปรับตัวลงมาถึง 2,326 จุดหรือลดลง 8.88% ในเวลาทำการเพียง 6 วัน จากวันที่ 2 ถึง 9 กุมภาพันธ์ 2018 แต่ถ้านับย้อนหลังไปถึงวันที่ 26 มกราคม 2018 ที่ดัชนีดาวโจนส์อยู่ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 26,617 จุด การปรับตัวลงมารอบนี้ก็ลดลงมาถึง 10% ในเวลาอันสั้น เหตุผลที่ทำให้หุ้นตกนั้นน่าจะเกิดจากการที่อัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อที่ต่ำมากที่ดำรงมาประมาณ 10 ปีหลังจากวิกฤติซับไพร์มของอเมริกานั้นดูเหมือนว่าจะเริ่ม “กลับทิศ” ซึ่งทำให้นักลงทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นหวั่นเกรงว่าการปรับตัวของหุ้นที่ขึ้นต่อเนื่องมา 10 ปีอย่างรวดเร็วและมั่นคงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์นั้นอาจจะถึงเวลาสิ้นสุดลง นักลงทุนซึ่งรวมถึงหุ่นยนต์เทรดหุ้นทั้งหลายจึงเทขายหุ้นกันอย่างหนัก
แต่นักลงทุนคนหนึ่งที่ผมคิดว่าไม่ได้ขายหุ้นและ “เจ็บตัว” มากที่สุดคนหนึ่งก็คือ วอเร็น บัฟเฟตต์ ความเสียหายของเขาตกอยู่ที่ประมาณ 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐหรือคิดเป็นเงินบาทก็ประมาณไม่น้อยกว่า 300,000 ล้านบาท ในเวลาเพียง 5-6 วันทำการ อย่างไรก็ตาม ความมั่งคั่งของเขาก็ยังอยู่ที่ประมาณ 84,000 ล้านเหรียญ ใกล้จุดสูงสุดในชีวิตการลงทุนของบัฟเฟตต์ ดังนั้น เขาคงไม่สะเทือนอะไรนัก น่าจะเรียกว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยก็ว่าได้ นอกจากนั้น ผมเองคิดว่าบัฟเฟตต์เองก็ไม่ได้เสียใจอะไรนัก เพราะนี่ไม่ใช่การ “ขาดทุนจริง” มันเป็นเพียง “ตัวเลข” ที่ลดลงซึ่งในที่สุดถ้าบริษัทที่เขาลงทุนยังดีเหมือนเดิม ราคาหุ้นก็จะกลับขึ้นมาเอง ว่าที่จริงบัฟเฟตต์อาจจะดีใจด้วยซ้ำ เพราะเขามีเงินสดเหลืออยู่มาก เพราะฉะนั้น เขาก็จะสามารถเข้าไปซื้อหุ้นในราคาที่ถูกลงซึ่งจะทำให้ได้รับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นในอนาคต
ในฐานะที่เป็นนักลงทุนระยะยาวที่ลงทุน “ตลอดชีวิต” การที่หุ้นมีการปรับตัวขึ้นลงนั้นเป็นเรื่องปกติที่เราจะต้องรับกับมันให้ได้เป็นอย่างดี เราไม่ต้องดีใจหรือเสียใจเพราะมันมักไม่ทำให้อะไรเปลี่ยนไปจากความเป็นจริงที่ว่า ในเรื่องของการลงทุนนั้น สำหรับแต่ละคนจะมีความมั่งคั่งมากน้อยเท่าไรในชีวิตนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับ “ความสว่างไสวของดวงแก้ว 3 ดวงของแต่ละคน” นั่นคือ 1) จำนวนเงินต้นจากแหล่งอื่นที่นำมาลงทุน 2) ผลตอบแทนระยะยาวแบบทบต้นของการลงทุนแต่ละปี และ 3) ระยะเวลาที่ลงทุน ใครมีเงินต้นมาก ได้ผลตอบแทนแบบทบต้นต่อปีสูง และมีระยะเวลาการลงทุนนานเท่าไร เขาก็จะรวยหรือมั่งคั่งมากขึ้นเท่านั้น
ผมลองตรวจสอบแบบหยาบ ๆ จากข้อมูลการลงทุนของบัฟเฟตต์แล้วก็พบความจริงที่น่าสนใจดังต่อไปนี้
บัฟเฟตต์เองน่าจะมีแก้วดวงแรกที่สว่างพอสมควรแต่ก็ไม่ได้สว่างมาก จริงอยู่ ครอบครัวของบัฟเฟตต์ในช่วงที่เขาเริ่มลงทุนนั้นน่าจะเป็นคนมีฐานะพอสมควร เพราะพ่อของเขานั้นเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของอเมริกาหลายสมัยและยังเป็นเจ้าของธุรกิจคือเป็นโบรกเกอร์ซื้อขายหลักทรัพย์ด้วย แต่บัฟเฟตต์ก็ไม่เคยได้เงินจากพ่อ เขาหาเงินเองมาตั้งแต่เด็กโดยการทำงานสารพัดรวมถึงการลงทุนทำธุรกิจเล็ก ๆ หลายอย่าง หลังจากเข้ามาลงทุนเป็นอาชีพโดยการรับบริหารเงินกองทุนนั้น เขาก็ได้ส่วนแบ่งกำไรเป็นกอบเป็นกำเนื่องจากทำผลงานได้ดี โดยสรุป ผมประมาณว่าเงินที่ได้จากน้ำพักน้ำแรงของบัฟเฟตต์นั้นน่าจะอยู่ประมาณล้านเหรียญเศษ ๆ ซึ่งในความคิดผมก็คือมากพอสมควรในยุค 60 ปีก่อน พูดง่าย ๆ ดวงแก้วดวงแรกของบัฟเฟตต์นั้น ไม่ได้สว่างมากแต่ก็ไม่เลวทีเดียว คนทั่วไปที่มีความสามารถสูงและประหยัดอดออมก็น่าจะสามารถทำได้
ดวงแก้วดวงที่สองหรือผลตอบแทนทบต้นต่อปีของการลงทุนของบัฟเฟตต์นั้นต้องถือว่าสว่างไสว “สุดยอด” หาคนเทียบได้ยาก อย่างไรก็ตามมีข้อน่าสังเกตที่ผมพบว่าเป็นเรื่อง “ธรรมชาติ” ของการลงทุนนั่นก็คือ ความสว่างไสวนั้นจะค่อย ๆ ลดลงเมื่อพอร์ตหรือเม็ดเงินลงทุนโตขึ้น สถิติผลตอบแทนการลงทุนในช่วงแรกของบัฟเฟตต์คือช่วงที่กองทุนยังจัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนบัฟเฟตต์ตั้งแต่ปี 1957-1969 เป็นเวลา 13 ปีนั้น บัฟเฟตต์ทำผลงานได้ถึงปีละ 29.5% แบบทบต้นซึ่งถือว่าเป็นผลงาน “สุดยอด” อย่างไรก็ตาม สถิตินี้ผมคิดว่า VI ไทยจำนวนไม่น้อยสามารถทำได้ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา
ตั้งแต่ปี 1970-1989 เป็นเวลา 20 ปีนั้น เครื่องมือที่ใช้ในการลงทุนของบัฟเฟตต์ก็คือบริษัทเบิร์กไชร์แฮทเธอเวย์ บัฟเฟตต์สามารถลงทุนทั้งแบบเทคโอเวอร์ธุรกิจและซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์และทำผลตอบแทน “ยอดเยี่ยม” ถึงปีละประมาณ 22% แบบทบต้น นี่เป็นระยะเวลาที่ยาวนานและด้วยเม็ดเงินจำนวนมากซึ่งผมคิดว่าจะหาคนที่สามารถทำได้ยากมาก และในช่วงปลายยุคนี้ทำให้บัฟเฟตต์กลายเป็น “ซุปตาร์” ของวงการลงทุน เป็นทั้งเซียนและคนที่รวยติดอันดับต้น ๆ ของประเทศและของโลก
ตั้งแต่ปี 1990 ถึงปัจจุบันเป็นเวลาประมาณ 28 ปีนั้น บัฟเฟตต์มีเม็ดเงินลงทุนมหาศาลและกลายเป็น “เซเล็บ” ในแวดวงการลงทุนและในหมู่ประชาชนทั่วไปไม่มีใครไม่รู้จักบัฟเฟตต์ การเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของบัฟเฟตต์เป็นที่จับตามองของสื่อ บทบาทของบัฟเฟตต์ก็คือการเป็น “ผู้นำมากบารมีของนักธุรกิจและนักลงทุน” อย่างไรก็ตามเขาก็ยังลงทุน “เต็มร้อย” แม้ด้วยวัยที่สูงถึง 85 ปีแล้ว สิ่งที่น่าทึ่งก็คือ ผลงานของบัฟเฟตต์ก็ยังดีเยี่ยมที่ประมาณ 14.6% ต่อปีแบบทบต้น ตัวเลขนี้หลายคนโดยเฉพาะนักลงทุนรายเล็กของเมืองไทยอาจจะมองว่าไม่สูง แต่ความจริงก็คือมันสูงมากถ้ามองว่าเป็นผลตอบแทนระยะยาวเกือบ 30 ปีและด้วยพอร์ตขนาดมหึมา
ถ้ามองการเติบโตของเม็ดเงินในแต่ละช่วงของกองทุนของบัฟเฟตต์โดยคิดว่าเขามีเงินเริ่มต้น 1 ล้านเหรียญ ในช่วงแรกความมั่งคั่งของเขาก็จะกลายเป็น 28.8 ล้าน พอสิ้นสุดช่วงที่สอง ก็จะกลายเป็น 1537.2 ล้าน จนถึงปัจจุบันที่อยู่ในช่วงที่ 3 ก็กลายเป็น ประมาณ 70,000 ล้านเหรียญ ถ้าคิดผลตอบแทนตลอดทั้ง 3 ช่วงเป็นเวลาประมาณ 61 ปี ผลตอบแทนที่บัฟเฟตต์ทำได้ก็อยู่ที่ประมาณ 20% ต่อปีแบบทบต้นโดยที่ความผันผวนปีต่อปีที่รวมถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ก่อนนั้นแทบจะไม่มีผลอะไรต่อผลตอบแทนระยะยาวและความมั่งคั่งของบัฟเฟตต์เลย
สิ่งสำคัญที่แทบจะไม่แพ้ผลตอบแทนต่อปีของการลงทุนหรือแก้วดวงที่ 2 ก็คือแก้วดวงที่ 3 หรือระยะเวลาของการลงทุน บัฟเฟตต์ลงทุนต่อเนื่องมา 61 ปี โดยที่มีช่วงสั้น ๆ ประมาณ 2-3 ปีเท่านั้นที่เขา “ออกจากตลาด” ไปเนื่องจากความกังวลเรื่อง “ฟองสบู่” ของตลาดหุ้นและคิดว่าตนเองรวยพอแล้วและ “อาจจะมีสิ่งอื่นในชีวิตที่น่าทำกว่า” ก็ต้องถือว่าบัฟเฟตต์นั้นมีแก้วดวงที่ 3 ที่สุกสว่างมากไม่แพ้แก้วดวงที่ 2 และด้วยแก้ว 3 ดวงที่สว่างไสวมากนี้เองที่ทำให้บัฟเฟตต์ร่ำรวยติดอันดับต้น ๆ ของโลกมายาวนานกลายเป็น ตำนานที่ยังมีชีวิตของนักลงทุนเอกของโลก
ประสบการณ์และชีวิตการลงทุนของบัฟเฟตต์นั้น สามารถนำมาปรับใช้กับชีวิตของเราได้ แน่นอน เราคงไม่รวยเท่าเขา แต่ถ้าเรามีความตั้งใจ ปรับแก้วทุกดวงของเราให้สว่างพอแม้แต่เพียงเศษเสี้ยวของบัฟเฟตต์แล้ว ความสำเร็จและความมั่งคั่งก็รอเราอยู่ แม้ว่ามันจะต้องใช้เวลาแต่ถ้ามันเป็นเวลาที่มีความสุขเราก็ไม่ต้องเดือดร้อนกระวนกระวายแม้ว่าบางช่วงบางตอนหุ้นจะ “ตกลงมาอย่างหนัก” และทั้งหมดนี้ผมก็พูดเพื่อปลอบและเตือนใจให้ทุกคนทำตัวให้สบายในกรณีที่หุ้นตกหนัก จำไว้ว่า “แล้วมันก็จะผ่านไป”
ที่มาบทความ : http://www.thaivi.org/แก้ว 3 ดวงของบัฟเฟตต์