โลกการเงินหลังวิกฤติวันปลดแอกสหรัฐฯ

วันที่ 2 เมษายน 2025 ที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ Donald Trump ตั้งชื่อว่า Liberation Day หรือวันปลดแอกสหรัฐฯ กลายเป็นวันสำคัญที่โลกการเงินต้องจารึกเอาไว้ไม่มีทางลืม

เมื่อ Trump ประกาศมาตราการ Reciprocal Tariffs หรือภาษีตอบโต้ กับคู่ค้าทุกประเทศทั่วโลก ส่งผลให้ตลาดการเงินผันผวนอย่างหนัก

เพียงแค่ 2 วันหลัง Liberation Day ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลงกว่า 10% ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีหุ้นสหรัฐร่วงลงไปแล้วกว่า 14% เร็วและแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์

ไม่ใช่แค่หุ้นสหรัฐฯ ภาษีตอบโต้กดดันให้หุ้นทั่วโลกปรับฐานลงพร้อมกันในปีนี้ ส่วนบอนด์ยีลด์สหรัฐร่วง ดัชนีดอลลาร์ ถอยลงไปที่ระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ Trump ชนะเลือกตั้ง ไม่เว้นแม้กระทั่งทองคำ สินทรัพย์ผลตอบแทนดีที่สุดของปีก็ปรับตัวลงด้วย

โลกการเงินหลังวิกฤติวันปลดแอกสหรัฐฯ อาจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว นักลงทุนไทยจึงต้องเรียนรู้และปรับกลยุทธ์รับความผันผวนที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้

ที่ภาษีตอบโต้กลายเป็นความเสี่ยงที่รุนแรงอย่างที่ไม่มีใครคาดคิดมาจากหลายสาเหตุ

(1) นโยบายนี้รุนแรงแบบไร้เหตุผล

ภาษีตอบโต้ส่งผลให้ภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นจาก 2% ไปเป็น 18% (weighted average) สูงที่สุดในรอบเกือบ 100ปี

ย้อนกลับไปในอดีต กว่าที่จะเห็นกำแพงภาษีการค้าของสหรัฐสูงขนาดนี้ ต้องถอยไปถึงช่วงกฎหมาย Smoot-Hawley Act ปี 1930 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ Great Depression ถือเป็นการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ที่น่ากังวลมาก

ขณะเดียวกันนโยบายนี้ก็เปลี่ยนความเชื่อของตลาดที่เคยคิดกันว่า Trump จะใช้ภาษีตอบโต้เป็นเครื่องมือต่อรองทางการค้า แต่ด้วยวิธีการคำนวณภาษีที่ไม่ได้อ้างอิงเหตุผลอื่นนอกจากการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ต่อให้มีการเจรจา ก็ไม่น่าจะมีกรอบหรือเป้าหมายที่ชัดเจน ทำให้การต่อรองไม่จบง่าย

(2) ความไม่แน่นอนเชิงนโยบายพุ่งขึ้นถึงขีดสุด ความเชื่อมั่นธุรกิจ และแผนการลงทุนจะลดลงทันที

เมื่อภาษีถูกตั้งขึ้นโดยไม่มีอะไรชัดเจน ทั้งในด้านรายการสินค้า ระยะเวลา หรือเป้าหมาย ความไม่แน่นอนเชิงนโยบาย (policy uncertainty) จึงพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดในรอบหลายทศวรรษ

ความไม่แน่นอนจะทำให้ภาคเอกชนต้องเบรกแผนลงทุนระยะยาวทั้งหมด เพราะไม่แน่ใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต ส่งผลให้รายได้ และการบริโภค เสี่ยงไม่เติบโตทั้งระบบ

แย่ไปกว่านั้น (3) ผลของ Reciprocal Tariffs อาจนำพาสหรัฐฯเข้าสู่ภาStagflation และเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย

เพราะนอกจากนโยบายนี้จะทำให้การเติบโตหยุดชะงักแล้ว ภาษีการค้าจะหนุนให้ราคาสินค้าสูงขึ้นทันที หมายความว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะ Stagflation เป็นสถานการณ์ที่ยากต่อการลงทุน

จากการประเมินเบื้อต้นของตลาด คาดนโยบายนี้จะกด GDP สหรัฐฯ ปี 2025 ลง 1.0% อัตราเงินเฟ้อจะพุ่ง 1.5% และอัตราการว่างงานอาจทะลุ 4.5%​ ในปีนี้

ปัญหาต่อมาอยู่ที่การรับมือ แม้ธนาคารกลางสหรัฐจะสามารถลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยประคองตลาดและเศรษฐกิจได้ แต่ถ้านโยบายการค้าไม่นิ่ง ความเสี่ยงก็จะไม่หายไป ขณะที่นโยบายที่คาดว่าจะช่วยได้ในระยะยาวอย่างการคลังก็พึ่งพาได้ไม่มาก เพราะหนี้ของสหรัฐอยู่ในระดับสูง มีความเสี่ยงด้านสเถียรภาพ

ต่อให้ยกเลิกนโยบายการค้าทั้งหมดทันที ความเชื่อใจของตลาดก็อาจไม่สามารถเรียกคืนกลับมาได้ เส้นทางของตลาดการเงินโลกหลังวันปลดแอกสหรัฐฯ จึงอาจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ผมมองความเป็นไปได้ระยะสั้นเป็น 3 กรณี

กรณีเลวร้าย Retaliation โลกสู้กลับสหรัฐฯ โอกาส 30%

ทางการจีนตอบโต้ไปแล้วและยุโรปกำลังหารือนโยบายรับมือ การตอบโต้ในระดับที่ใกล้เคียงกันเป็นคำตอบที่ตรงไปตรงมาที่สุด เมื่อสหรัฐฯ เอาแน่นอนไม่ได้

ในกรณีนี้ ความตึงเครียดจะกระจายไปทั่วโลก เศรษฐกิจสหรัฐจะพบกับ Supply Shock ครั้งใหญ่ เงินเฟ้อพุ่ง กำไรบริษัทร่วง หุ้นเข้าสู่ตลาดหมี และดอลลาร์มีโอกาสอ่อนค่าแรงถ้าทั่วโลกหันไปตั้งกลุ่มการค้าใหม่

กรณีฐาน Negotiation เจรจาต่อรอง โอกาส 50%

แม้จะเป็นกรณีฐานของผมมาตั้งแต่ต้นปี แต่โอกาสเกิดขึ้นในตอนนี้ลดลงเหลือแค่ 50-50 การเจรจาอาจเกิดขึ้นกับประเทศเล็กที่มีเศรษฐกิจเปิด และถูกตั้งกำแพงภาษีระดับสูงก่อน

แม้การเจรจากับทุกประเทศอาจลากยาวกินระยะเวลาไปเกินปี แต่ในระยะสั้น คาดว่าตลาดจะเริ่มหาจุดสมดุลใหม่ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวลง จะผสมให้เงินเฟ้อไม่เร่งตัวขึ้นถึงขั้นวิกฤต เมื่อภาษีส่วนใหญ่ถูกชะลอออกไป ตลาดจะหยุดปรับตัวลงและเข้าโหมดมีความหวัง

กรณีสุดท้าย Trump ถอย De-escalation โอกาส 20%

เป็นกรณีที่อาจเกิดขึ้นได้ถ้าแรงกดดันจากทั้งเศรษฐกิจและโลกการเงินสะเทือนถึงคะแนนความนิยมของทรัมป์และพรรค Republican ถ้ากระแสการเมืองตีกลับ Trump อาจต้องรีแบรนด์กลยุทธ์ เสนอข้อตกลงแลกเปลี่ยน หนุนดอลลาร์อ่อน เพื่อเป็นทางลงให้ทุกฝ่าย

บทความหน้า ผมจะไปวิเคราะห์พื้นฐานที่เปลี่ยนไปของตลาดการเงินทั่วโลกหลังวิกฤติวันปลดแอกสหรัฐฯ กันครับ

โลกการเงินหลังวิกฤติวันปลดแอกสหรัฐฯ

ภาษีการค้าของสหรัฐพุ่งขึ้นสูงที่สูดในรอบกว่า 100ปี
ที่มา: Historical Statistics of the US, BEA, FSS

ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์

Wealth Health Check