หุ้นจีนเป็นการลงทุนที่ชาวไทยให้ความสนใจมากที่สุดเสมอ แม้ช่วงสองปีที่ผ่านมาผลตอบแทนจะไม่เป็นไปตามหวัง แต่หลายท่านก็ไถ่ถามมาตลอดว่าควรสะสมหุ้นจีนไหม? หรือเมื่อไรจะกลับเป็นขาขึ้น? ผมจึงรวบรวมเป็น 5 คำถามที่นักลงทุนต้องรู้คำตอบ ก่อนที่จะลงทุนในหุ้นจีนช่วงครึ่งหลังของปีนี้มาคุยพร้อมกัน
1. เศรษฐกิจจีนจะขยายตัวได้ถึง 5% ไหม และ รายได้ของบริษัทในจีนผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วหรือยัง
คำตอบ ไม่ถึงและไตรมาสที่สองควรเป็นจุดต่ำสุดของรายได้
ปัญหาหลักของเศรษฐกิจจีนคือ Zero-Covid Policy (ZCP) ที่จะอยู่ไปถึงการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนช่วงเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายนเป็นอย่างน้อย แม้จีนจะเริ่มคลาย ZCP แล้ว แต่เมื่อมีความเสี่ยงที่จะกลับไปปิดได้อีกทุกเมื่อ กิจกรรมทางเศรษกิจก็จะฟื้นช้า และ GDP ระดับ 4.0-4.5% เป็นสิ่งที่นักลงทุนควรคาดหวัง
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ในตลาดได้ทำการปรับลดคาดการณ์รายได้ลงไปแล้วกว่า 8-12% ในกลุ่มอสังหาฯ และ 50-60% ในกลุ่ม Internet ด้วยนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่เพิ่มเข้ามาล่าสุด มีความเป็นได้มากที่จะเห็นการฟื้นตัวของทั้งมุมมองรายได้ และรายได้จริงหลังไตรมาสที่สองเป็นต้นไป
2. นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจล่าสุดจะช่วยหุ้นจีนกลุ่มไหน และมากแค่ไหน
คำตอบ มาตรการที่ทางการจีนใช้กระตุ้นเศรษฐกิจคือ การเงิน การคลัง อสังหาฯ กฎเกณฑ์ธุรกิจ และการคุมโควิด
ขนาดของการกระตุ้นโดยรวมถือว่าสูง นักเศรษฐศาสตร์ของ Goldman Sachs ประเมินว่ามีขนาดถึงกว่า 14%/GDP มากกว่าปี 2021 ที่ 11%/GDP โดยอุตสาหกรรมที่ควรได้รับประโยชน์ที่สุดก็คือ อสังหาฯ บริการ และผู้ผลิตสินค้าทุน
แม้นโยบายเหล่านี้อาจไม่เพียงพอที่จะทำให้หุ้นจีนกลับไปเป็นขาขึ้นจนกว่าจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเช่นเดียวกับปี 2020 แต่อย่างน้อยก็น่าจะสามารถลดความเสี่ยงของขาลงได้
3. นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐจะทำให้เงินทุนไหลเข้าหรือออกจากจีนกันแน่
คำตอบ ในอดีตเงินทุนสามารถไหลเข้าหุ้นจีนได้แม้ดอกเบี้ยสหรัฐจะปรับตัวขึ้น จุดที่สำคัญคือหุ้นสหรัฐเป็นขาขึ้นหรือลง
ถ้าเฟดขึ้นดอกเบี้ยและหุ้นสหรัฐขึ้น เงินทุนมักสะสมตัวอยู่ในฝั่งตะวันตกก่อนจะมาฝั่งเอเชีย แต่ถ้าหุ้นสหรัฐลง หุ้นจีนมักเป็นทางเลือกที่นักลงทุนใช้เป็นตัวแทนสินทรัพย์ผันผวนสูงแทนที่กลุ่มเทคโนโลยีในสหรัฐเนื่องจากมีการเติบโตสูงใกล้เคียงกันแต่มี Downside Sensitivity กับหุ้นสหรัฐโดยรวมที่ต่ำกว่า
ในช่วงนี้ที่ S&P500 ปรับฐานลงตั้งแต่ต้นปีหนักที่สุดนับตั้งแต่ปี 1970 โอกาสที่เงินทุนจะไหลเข้ามาหลบในหุ้นจีนก็จะยิ่งสูงขึ้น
4. ความถูกแพงของหุ้นจีนมีผลต่อการตัดสินใจมากน้อยแค่ไหน
คำตอบ สำหรับผมมองว่าความถูกของหุ้นจีนเป็นสิ่ง “จำเป็น” แต่ไม่ “เพียงพอ” ที่จะหนุนให้หุ้นจีนเป็นขาขึ้น
เหตุผลสำคัญคือระดับราคาของหุ้นจีนถูกทำให้ดูต่ำจากกลุ่มที่นักลงทุนไม่ชอบ เช่น China A Share Value มี Long-term P/E (LTP/E) 12เท่า แต่ประกอบด้วยภาคธนาคารและอุตสาหกรรมที่ไม่ตื่นเต้น
สวนทางกับกลุ่มที่นักลงทุนอยากได้อย่างเทคโนโลยีหรือสินค้าฟุ่มเฟือย วัดจาก China A Share Growth Index ยังคงมี LTP/E แพงถึง 70 เท่า (ลดลงมาจากสูงสุดที่ 120 เท่า)
หมายความว่าถ้าจะซื้อเพราะระดับราคา ก็ควรหวังว่านักลงทุนหุ้นจีนจะให้ความสำคัญกับกลุ่ม Value ของจีนมากขึ้นก่อน หรือไม่เช่นนั้นกลุ่ม Growth ในจีนก็เติบโตดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
5. ถ้าอยากลงทุนหุ้นจีนควรจะลงทุนในกลุ่มไหนดี
คำตอบ ผมคิดว่าความเสี่ยงหลักยังคงเป็นเรื่องของความไม่แน่นอนของนโยบาย กลุ่มที่ดีที่สุดจึงควรเป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการเมืองน้อยที่สุด
ความเสี่ยงหลักคือ ZCP มีโอกาสกลับมากดดันอีกเมื่อไรก็ได้ ดังนั้นถ้าอยากสะสม ผมมองว่า H-Share กลุ่มพลังงาน การเงิน หรือเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ปลอดภัยกว่าธีมเปิดเมือง
ส่วนในฝั่ง A-Share แม้นโยบายกระตุ้นการบริโภคจะกลับมาแล้ว แต่ด้วยโครงสร้างเศรษฐกิจและมุมมองภาครัฐยังไม่เปลี่ยนแปลง Common Prosperity จะกลับมาหลังจากผ่านวิกฤติโควิดแน่นอน
นักลงทุนจึงควรระมัดระวังการลงทุนในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย และกระจายการลงทุนไปในบริษัทขนาดกลางและเล็กในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย
โดยสรุป ผมมองว่านักลงทุนสามารถ “สะสม” หุ้นจีนเข้าพอร์ตได้ แม้โอกาสที่จะกลับเป็นขาขึ้นเต็มตัวในปีนี้ยังไม่มาก แต่ถ้าลงทุนถูกกลุ่ม ความเสี่ยงที่หุ้นจะปรับฐานลงไปกว่าจุดต่ำสุดเดิมก็น้อยเช่นเดียวกันครับ
Long-term P/E ของหุ้นจีน A Share ธีม Growth และ Value
ที่มา: Bloomberg และ UOBAM Thailand
ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์