ปี 2018 จุดสิ้นสุดของความบังเอิญในตลาดการเงิน?

ช่วงท้ายปีจะเห็นนักเศรษฐศาสตร์เกือบทุกที่ที่ออกมาให้ความเห็นว่าเศรษฐกิจโลกปีหน้าจะเป็นอย่างไร ซึ่งปีนี้ส่วนใหญ่ผมเริ่มเห็นหลายคนพูดคล้ายกันว่า “คงจะดีกว่าปี 2017” น่าจะยังเติบโตได้อย่างน้อย 3.6% และเศรษฐกิจไทยก็จะขยายตัวตามได้ 3.7-4.0% เช่นกัน

แต่ดูเหมือทุกอย่างจะไม่หยุดอยู่แค่นั้น

ล่าสุดจีดีพีไตรมาสที่สามของไทยขยายตัวได้ถึง 4.3% ร้อนแรงจนทุกคนเริ่มตื่นเต้น และเชื่อว่าเกือบทุกสำนักคงต้องกลับไปตีลังกาคิดกันใหม่ ว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้เท่าไหร่กันแน่ในปี 2018 เพราะดูเหมือนว่าทุกอย่างจะ “ดีกว่าที่คิด” และอาจร้อนแรงที่สุดในหลายปีที่ผ่านมาก็เป็นได้

ไม่ใช่แค่เศรษฐกิจ ตลาดการเงินก็ดูจะร้อนแรงมากไม่แพ้กัน

หุ้นทั่วโลกปรับตัวทำนิวไฮน์กันเป็นว่าเล่น ไม่เว้นแม้แต่หุ้นไทยที่เข้าใกล้ถึงจุดสูงสุดตลอดกาลเข้าไปทุกที นักวิเคราะห์อย่างผมถูกถามบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ ว่า “ภาพอย่างนี้คือการเดินทางครั้งใหม่หรือยอดดอยกันแน่”

การเคลื่อนไหวของ MSCI World Index (เส้นขาว) และ SET index (เส้นส้ม)
ที่มา : Bloomberg และ KTB Global Markets

ในมุมมองของผม แม้เศรษฐกิจจะดีมาก แต่สิ่งที่ทำให้ตลาดดูจะไม่ค่อยมั่นใจกับอนาคต เกิดขึ้นเพราะว่าปี 2017 ถือเป็น “ปีแห่งความบังเอิญที่แท้ทรู!” และถ้าจะให้ปี 2018 ไปได้ต่อ ก็ดูเหมือนต้องหวังให้มีความบังเอิญ “เด้งสอง” เกิดขึ้นอีก

ที่บังเอิญมากของปีนี้มีหลายอย่างยกตัวอย่างง่าย ๆ อย่างเช่น

  1. เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวดีไม่หยุด แม้การเมืองจะปั่นป่วน และประสบภัยจากภายุเฮอริเคนถึงสองลูก
  2. หุ้นขึ้นทำนิวไฮน์ ดอลลาร์อ่อนค่า แม้เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยได้ถึง 3 ครั้ง (ผมนับปลายปีให้ด้วยเลย)
  3. เศรษฐกิจและตลาดทุนทั้งในยุโรปกับญี่ปุ่นแข็งแกร่งกว่าทุกปี แม้อีซีบีและบีโอเจจะลดการกระตุ้นทางการเงินลง
  4. เศรษฐกิจจีนที่โตทะลุเป้า แต่หนี้ยังคงสูงขึ้นเรื่อย ๆ แม้ทางการจีนเข้าปรับสมดุลย์เศรษฐกิจ
  5. การค้าทั่งเอเชียก็ฟื้นตัวแม้ต้องเจอกับความกังวลเรื่องกีดกันทางการค้าและเกาหลีเหนือ

ยิ่งในประเทศ เศรษฐกิจและตลาดหุ้นที่ปรับตัวดีขึ้นจนนักวิเคราะห์หลายหลายคนไม่รู้จะตอบว่าขึ้นเพราะอะไร เป็นการตอกย้ำว่ามีความบังเอิญเกิดขึ้นเช่นกัน

บางสำนักอาจมองว่าทุกอย่างเกิดจากผลของการกระตุ้นเศรษฐกิจมายาวนานตั้งแต่วิกฤตครั้งก่อน บางคนอาจบอกว่าเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี หรือบางส่วนอาจจะพูดว่าเป็นความโชคดีที่โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ทำตามแผนที่วางไว้ ซึ่งก็หมายความว่า ยังเป็นความบังเอิญที่เรา “อธิบายได้ไม่ทั้งหมด”

ในปี 2018 แม้จะเป็นอีกปีที่เราอยากเห็นเศรษฐกิจและตลาดการเงินสดใส แต่ก็ยังจำเป็นต้องระวังกับ “จุดสิ้นสุดของความบังเอิญ” ที่ต้องมาถึงสักวัน และจะส่งผลให้ตลาดการเงินโลกปั่นป่วนแน่นอน

อย่างแรก ตลาดทุนมีเกิดและมีดับ ถ้าไม่บังเอิญ สิ่งที่เรากำลังจะได้เห็นมากขึ้นเรื่อยคือการเปลี่ยนแปลงของตลาด Apple Facebook Amazon ปรับตัวขึ้นไม่น้อยกว่า 50% ในปีที่ผ่านมาและกลายเป็นบริษัทใหญ่โตในวันนี้ แลกมาด้วยความตกต่ำของยักษ์ใหญ่ในอดีตอย่าง Time Warner Lucent หรือ GE ซึ่งราคาหุ้นร่วงกว่า 50%ในปีช่วงเดียวกัน ถ้าบริษัทเก่าๆไม่สามารถปรับตัวได้ ก็เกิดความเสี่ยงกระเพื่อมสู่ตลาดในที่สุด

การเคลื่อนไหวของหุ้นสหรัฐในปี 2017
S&P500 เส้นเหลือง Amazon เส้นน้ำเงิน General Electric เส้นแดง
ที่มา : Bloomberg และ KTB Global Markets

อย่างที่สอง ราคาของสินทรัพย์ทางการเงินต้องมีฟื้นฐานรองรับ ถ้าไม่บังเอิญ บริษัทที่ราคาหุ้นสูงเป็น 300 เท่าของกำไรอย่าง Amazon ควรปรับฐานบ้าง ต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นในฝั่งสหรัฐควรส่งผลให้ตลาดลดความร้อนแรงลงในไม่ช้า เมื่อไหร่ก็ตามที่สินทรัพย์เสี่ยงไม่สามารถทำกำไรได้อย่างที่นักลงทุนคาดหวัง แรงขายสินทรัพย์ที่ราคาแพงผิดปรกติก็จะเกิดขึ้นทันที

Price to Earnings Ratio (P/E) ของ Amazon.com
ที่มา : Bloomberg

และอย่างที่สาม การเมืองที่ปั่นป่วนไม่เคยส่งผลดีกับตลาด ถ้าไม่บังเอิญ นโยบาย American First และความเป็นโดนัล ทรัมป์ ต้องสร้างปัญหาให้กับเศรษฐกิจสหรัฐและการค้าโลกสักวัน ทั้งนโยบายดึงเงินกลับประเทศ หรือการปลุกเศรษฐกิจเก่าและหยุดเศรษฐกิจใหม่ จะทำให้ตลาดผันผวน ตัวอย่างในปีนี้ทรัมป์ก็เคยแสดงให้เห็นมาแล้วว่าแค่ทวีตถึง Amazon ว่าส่งผลให้คนสหรัฐต้องตกงาน ก็ทำให้หุ้นลงจนเสียมูลค่าตลาดไปถึง 5.7 พันล้านเหรียญได้ในไม่กี่นาที

ราคาหุ้นของ Amazon.com
ที่มา : Twitter and Google Finance

ที่ผมเล่ามาทั้งหมดไม่ได้หมายความให้เรากลัวจนไม่ทำอะไร แต่ทางที่ดีที่สุดคือเราต้องรู้ตัวเสมอว่า “ความเสี่ยงยังมีอยู่” ต้องเตรียมพร้อมรับมือและไม่พาตัวเข้าไปอยู่ใกล้ความเสี่ยงนั้นมากเกินไป

และแม้ผมจะนิยามปี 2018 ว่าอาจเป็นปีสิ้นสุดของความบังเอิญในตลาดการเงิน แต่ก็ใช่ว่าวิกฤติจะเกิดขึ้นทันที

ผมเชื่อว่าตลาดจะเริ่มเข้าสู่ “สภาวะรับรู้ความเป็นจริง” ในปีหน้า ต้นทุนราคาถูกจากธนาคารกลางทั้งหลายกำลังจะหมดลง สภาพคล่องที่เคยมีมากกำลังลดลงตามเศรษฐกิจที่ขยายตัว ตลาดการเงินคงต้องปรับฐานลงมาบ้าง เมื่อไรก็ตามที่โดนัลด์ ทรัมป์ไม่บังเอิญรอดตัวได้เหมือนปีที่ผ่านมา และตลาดยอมรับความจริงว่าทรัมป์คือประธานาธิบดีที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่ความปังเอิญทุกอย่างในตลาดการเงินอาจต้องจบลง

ไม่มีปีไหนที่ตลาดไม่มีความเสี่ยง แต่ผมเชื่อว่าเราสามารถรอดตัวได้เสมอถ้าเรารู้ทันและบริหารความเสี่ยงดี

หวังว่าปี 2018 จะเป็นปีที่ดีทั้งกับผู้ประกอบการและนักลงทุนไทยครับ