การพยากรณ์เป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพยากรณ์ตลาดการเงิน
แต่ทุกปี อาชีพนักวิเคราะห์อย่างผมก็ต้องพยายาม “หยั่งรู้อนาคต” สวนทางกับผลการทำนายในปี 2020 ที่เตือนเราอีกครั้งว่าอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน และใครก็ตามที่ทายระดับตลาดการเงินถูกต้องในปีนี้ ต้องยอมรับว่าทั้งหมดเกิดจาก “โชค” มากกว่า “ฝีมือ”
ถึงอย่างนั้น ผมยังเชื่อว่าการพยากรณ์ตลาดมีข้อดีมากกว่าข้อเสีย แม้จะไม่ถูกต้องทั้งหมด แต่ทำให้เรากล้าตัดสินใจ ได้ฝึกใช้เหตุผล และยิ่งถ้าใครคิดว่าปี 2021 อาจเป็นปีที่นักวิเคราะห์ต้องทายผิดกันหมดอีกครั้ง ช่วงนี้ก็จะได้ฝึก “มองให้ต่าง”
ผมจึงนำมุมมองที่ตลาดเห็นร่วมกัน (Market Consensus) ที่คงจะผิดเป็นกลุ่มแรก มาร่วมกันวิเคราะห์และแชร์ว่าอะไรคือสิ่งที่จะสร้างความแตกต่างให้กับตลาดการเงินในปีหน้า
โดยสิ่งที่ตลาดเชื่อกันอยู่ในตอนนี้คือปี 2021 ชาวโลกจะได้กลับเข้าสู่ชีวิตปรกติ เศรษฐกิจเกิดใหม่จะฟื้นตัวดีกว่าสหรัฐ แต่เงินเฟ้อจะต่ำต่อเนื่องจากปัญหาเชิงโครงสร้าง
ด้วยมุมมองนี้ Consensus เชื่อว่ากำไรของบริษัททั่วโลก (MSCI All World Index) จะสูงกว่าปีนี้ถึง 45% บอนด์ยีลด์สหรัฐอายุสิบปีจะปรับขึ้นไปที่ระดับ 1.2% (บวก 30bps) และเงินดอลลาร์จะอ่อนค่าอีก 3% เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก
ส่วนใครไม่เชื่อว่าจะเป็นไปตามที่ Consensus คาดไว้ การที่ตลาดจะ “เดาผิดกันหมด” จะเกิดขึ้นได้ด้วยเหตุผลและความน่าจะเป็นที่แตกต่างกันในแต่ละสินทรัพย์
แตกต่างได้ยากที่สุดคือบอนด์ และถ้าจะผิดต้องเกิดจากเศรษฐกิจดีหรือแย่ผิดคาดไปมาก
เนื่องจากยีลด์ถูกชี้นำด้วย 3 ตัวแปรหลัก (1) คือนโยบายการเงินที่จะผ่อนคลายต่อ (2) คือเงินเฟ้อที่ยังพบกับปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีที่เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป หรือการลงทุนที่ลดลงตามสังคมที่สูงอายุขึ้น จึงเหลือแค่ (3) การขยายตัวของเศรษฐกิจ
โดยปี 2020 แสดงให้เราเห็นแล้วว่ายีลด์สิบปีสามารถปรับตัวลงได้ถึง 0.5% ถ้าเศรษฐกิจไม่ฟื้น แต่ในขณะเดียวกันถ้าใครมองว่าทุกอย่างจะกลับมาใกล้เคียงกับปี 2019 ก็ต้องจำไว้ด้วยเช่นกันว่ายีลด์สิบปีซื้อขายกันที่ระดับ 1.9% ก่อนวิกฤติ
ดังนั้นถ้าต้องเลือก ผมพยากรณ์ว่ายีลด์จะสูงกว่าที่คิดไว้ ในกรณีที่เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวได้ดีกว่าที่ตลาดประเมินปัจจุบัน
ส่วนเงินดอลลาร์มีโอกาสแตกต่างมากกว่า ปากกาเซียนจะหักหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความแตกต่างของเศรษฐกิจสหรัฐกับทั่วโลก
เพราะค่าเงินจะเปลี่ยนแปลงก็ต่อเมื่อตัวแปรเศรษฐกิจขยับ หรือมีการเคลื่อนที่ของเงินทุนจากสกุลหนึ่งไปอีกสกุลหนึ่งอย่างมีนัยจากปริมาณความต้องการสินทรัพย์เสี่ยง
ตัวอย่างเช่นในช่วงสี่ปีของทรัมป์ ที่ Consensus มองว่าดอลลาร์ต้องอ่อน แต่สุดท้ายกลับไม่ได้อ่อนค่ามาก เพราะนโยบายการต่างประเทศกดการขยายตัวของประเทศคู่ค้าได้มากกว่าสหรัฐ
ส่วนปี 2021 เราน่าจะเห็นดอกเบี้ยนโยบายที่ไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งที่จะทำให้เงินเคลื่อนไหวจึงเหลือแค่ทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ดังนั้นถ้าใครเชื่อว่ายุโรปหรือจีนจะฟื้นตัวไม่ดีอย่างที่ตลาดคาดไว้ เงินดอลลาร์ก็อาจไม่อ่อนค่าลง
แต่ส่วนตัว ผมกลับเชื่อว่าเศรษฐกิจนอกสหรัฐมีโอกาสขยายตัวสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝั่งเอเชียที่เปิดรับเทคโนโลยีมากหลังโควิด ผมจึงพยากรณ์ว่า ดอลลาร์จะอ่อนมากกว่าที่ตลาดคิดกันในปีหน้า
ท้ายที่สุดคือตลาดหุ้น ที่อนาคตต้องฝากไว้กับวัคซีน และก็เป็นวัคซีนนั่นเองที่ทำให้มุมมองในตลาดหุ้นมีโอกาสผิดมากที่สุด
เพราะประเด็นดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่มีใครรู้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประสิทธิภาพ ความสามารถในการผลิต ไปจนถึงความสามารถในการแจกจ่ายวัคซีน ตอนนี้นักวิเคราะห์ทั่วโลกก็ใช้การเดาเป็นหลัก
แต่แค่กะจังหวะผิดไปเดือนเดียว การประมาณรายได้ของปีหน้าก็จะต่างไปถึง 1/12 หรือประมาณ 8% เลยทีเดียว ยิ่งรวมเรื่องระยะยาวอย่างความเชื่อมั่นของนักลงทุน หรือจังหวะกลับสู่ปรกติของกิจกรรมทางเศรษฐกิจด้วยแล้ว โอกาสถูกต้องดูจะมีน้อยมาก
แต่ในทางกลับกัน ถ้ามองจากการตอบรับของตลาดที่ดีมากกับข่าววัคซีน ก็ควรตีความว่าส่วนใหญ่ยังสงสัยมากกว่าเชื่อมั่น ขณะที่ Consensus ก็ประเมินว่าต้องรอถึงปลายปีหน้า ชาวโลกจึงจะได้รับแจกจ่ายวัคซีนอย่างทั่วถึง ซึ่งเป็นมุมมองที่ค่อนข้างปลอดภัยอยู่แล้ว
ถ้าให้เลือกต่าง ผมจึงพยากรณ์ว่าเซอร์ไพรซ์น่าจะเป็นไปในเชิงบวก และจะทำให้นักลงทุนกล้ามากกว่ากลับไปกลัวในปี 2021
นั่นคือทั้งหมดของการพยากรณ์ในตลาดการเงินของทั้ง Consensus และผมซึ่งคงผิดบ้างถูกบ้างในปีหน้า
แม้ผมจะอยากทายถูกทุกอย่าง แต่ที่จริงนั่นไม่ใช่เป้าหมายของการพยากรณ์อนาคตเสียทีเดียว โดยผมเชื่อว่า ทิศทาง เหตุผล ความสัมพันธ์ของตัวแปรต่าง ๆ และความคาดหวังของตลาด คือสิ่งที่เราได้รับรู้จริงจากการพยากรณ์ สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราเรียนรู้ และตัดสินใจในตลาดการเงินได้ดีขึ้นครับ
ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์