ย้อนกลับเพียงช่วงต้นปี ผมได้เขียนบทความเรื่องเหตุผลที่เสียงดนตรีในตลาดการเงินจะหยุดลงในปี 2021 โดยมองว่ามีเรื่องหลักที่อาจทำให้ตลาดการเงินปรับฐานในปีนี้ได้มีเพียงเศรษฐกิจโลกไม่ฟื้นจริง หรือนโยบายกระตุ้นลดลง หรือนักลงทุนต้องเริ่มกลัวบางอย่าง
ผ่านมาเกือบครึ่งปี หลายประเด็นก็ชัดเจนเทียบเป็นเกมการเงินคงไม่ต่างกับการที่การ์ดหลายใบที่คว่ำอยู่ได้ถูกหงายขึ้นแล้ว ซึ่งในปัจจุบันผมมองว่ามีการ์ด Biden, Bubbles, และ Bitcoin เป็น “ตอง B” ที่นักลงทุนต้องรู้วิธีรับมือ
Biden, the Big Government คือการ์ด “ตัวละคร” ค่าร่ายสูงที่กำลังกำหนดทิศทางตลาด
ความสามารถของไบเดน ทำให้การเพิ่มงบประมาณภาครัฐไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรกลายเป็นสิ่งปรกติ ประเทศไหนที่ทำไม่ได้อย่างสหรัฐถือว่าการเมืองไม่แข็งแกร่ง
เห็นได้จากแทบทุกนโยบายแม้จะมาพร้อมกับภาระภาษีและหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น แต่ก็ได้รับการตอบรับดีจากตลาด เช่นหุ้นปรับตัวขึ้น ขณะที่พันธบัตรรัฐบาลก็ถูกกดดันไม่มาก
ด้วยผลกระทบต่อตลาดการเงินที่สูง ทำให้ตัวละครอื่นลดความสำคัญลงอย่างมาก ที่ต้องจับตาในปีนี้ จึงอาจไม่ใช่ธนาคารกลางหรือปัญหาเศรษฐกิจ แต่จะเป็นนโยบายการเมืองว่าจะเอื้อไปสู่การลงทุนแบบไหน ซึ่งในปัจจุบัน ตลาดกล้าตามประเด็นสิ่งแวดล้อม ไม่กลัวเรื่องภาษี แต่ไม่แน่ใจเรื่องนโยบายต่างประเทศ
Bubble Bubble and Bubbles เป็นการ์ด “สถานการณ์” ระดับแรร์ ที่เปิดอยู่ ทำให้การลงทุนไม่สามารถเปรียบเทียบกันในด้วยพื้นฐานได้
แทบทุกสินทรัพย์กำลังถูกขับเคลื่อนด้วยความหวังและเป็นความหวังที่สูงกว่าความจริงที่จะเกิดขึ้นได้ในระยะสั้นทั้งหมด แต่เมื่อตลาดเปิดการ์ด Biden, the Big Government อยู่ก็กลายเป็นไม่มีอะไรที่จะต้องกลัว เพราะโอกาสเกิดเศรษฐกิจถดถอยหรือการเข้มงวดทางการเงินยังคงต่ำ
ธีมฟองสบู่ที่วนเวียนอยู่มีตั้งแต่รุ่นเก่าอย่าง Lower for Longer หรือฟองสบู่ในตลาดบอนด์ที่ได้ไปต่อ เพราะดอกเบี้ยไม่จำเป็นต้องขึ้นแม้เงินเฟ้อจะสูง
ธีม Super Cycle กำลังเกิดขึ้นในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์จากเศรษฐกิจฟื้นตัว แม้นักวิเคราะห์ชี้ว่าโครงสร้างของการบริโภคสินค้าเหล่านี้จะไม่เหมือนเดิม
ส่วนในตลาดหุ้น Reopening Rest of the World ก็ได้รับความสนใจ แม้แนวโน้มระยะยาวยังไม่ง่ายที่ทั่วโลกจะหลุดจากโควิด
ขณะที่ Work from Home Forever ก็ยังอยู่พร้อมกับถูกคาดว่าอนาคตสดใสที่สุด
ปัญหาหลักของสถานการณ์นี้ ไม่ได้อยู่ที่ไม่มีทางเลือกเหมือนสมัยก่อน แต่อยู่ที่มีทางเลือกมากมาย ทุกทางดีในแบบของตัวเอง และไม่สามารถเปรียบเทียบพื้นฐานกันได้
แต่ด้วยความรู้สึกแพงและซับซ้อน ทำให้นักลงทุนหน้าใหม่ไม่กล้าไล่ซื้อเหมือนช่วงปี 2020 ธีมเหล่านี้จึงทำได้แค่เปลี่ยนตัว (Rotation) เมื่อยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายหรือกฎเกณฑ์ใหม่ที่ชัดเจน
Bitcoin เป็นการ์ด B ใบที่สามที่เปรียบเสมือน “อาวุธ” ชนิดใหม่ที่เพิ่มความผันผวน
มุมมองทุกอย่างเกี่ยวกับตลาด crypto asset เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วมาก เทียบกับต้นปีที่ผมและเหล่านักลงทุนมองเป็นเรื่องนอกตลาด แต่หลังจากที่ธุรกรรมการเก็งกำไรเพิ่มไม่หยุด รายได้จากธุรกิจซื้อขาย crypto ก็สูงเกินกว่าที่กลุ่มธุรกิจการเงินดั้งเดิมจะมองข้าม ภาคการเงินเริ่มส่งสัญญาณว่าจะนำ crypto a asset เหล่านี้เข้าสู่ระบบโดยเร็ว
ขณะเดียวกันก.ล.ต.สหรัฐฯ ก็กำลังพิจารณาคำยื่นขอตั้ง ETF Bitcoin จากหลายบลจ.คาดว่าจะรู้ผลในเดือนมิถุนายนนี้ ถ้าไม่เลื่อนและเกิดจริงจะทำให้มีนักลงทุนเข้าถึงมากขึ้น ล่าสุด Citi Research ประเมินว่าการเข้ามาของบิตคอยน์อาจได้ส่วนแบ่งถึง 3-6% ของพอร์ตและอาจกลายเป็นอาวุธหนักเพื่อการเก็งกำไรทันที
แต่ด้วยความผันผวนที่สูง เมื่อการ์ดบิตคอยน์หงายอยู่ ความผันผวนในตลาดตก็ปรับตัวลงช้า นักลงทุนจะถูกท้าทายให้อยู่ในตลาดเพราะการเก็งกำไรมีให้เห็นได้แทบทุกวัน
คำถามในตลาดจะยากขึ้น ไม่ใช่แค่จะต้องเดาว่าถ้าตลาดปรับฐานแล้วบิตคอยน์จะขึ้นหรือลง และในอนาคตต้องเดาเพิ่มด้วยว่าถ้าบิตคอยน์เกิดปรับตัวลง 50-90% อะไรจะเกิดขึ้นกับสินทรัพย์การเงินอื่น ๆ
โดยสรุป เกมการเงินที่มีตอง B เปิดอยู่ต่างจากเกมปรกติที่เราเคยติดตาม
เศรษฐกิจ โควิด และนโยบายการเงินอาจไม่มีความหมาย ต่อจากนี้ผมเชื่อว่าเราต้องจับตาไปที่ตัวละครโจ ไบเดน อย่างตั้งใจ โดยเรื่องที่อาจเปลี่ยนอารมณ์นักลงทุนอาจเป็นประเด็นต่างประเทศ ขณะที่ในสถานการณ์ฟองสบู่ กลยุทธ์ “ลงซื้อขึ้นขาย” คงจะเหมาะสมที่สุด ส่วนใครที่เตรียมจะเพิ่มบิตคอยน์เข้ามาในพอร์ต ก็ต้องไม่ลืมที่จะแบ่งสัดส่วนให้ชัดเจนระหว่าง “การเก็งกำไรกับการลงทุน” ให้ดีครับ
ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์