ช่วงกลางปีที่แล้วผมได้เขียนบทความเรื่อง “ลงทุนธีม AI แล้วพอร์ตคุณจะเปลี่ยนไป!” จากวันนั้นถึงวันนี้ AI ยังคงเป็นกระแสที่โลกเศรษฐกิจและโลกการเงินพูดถึงกันอย่างต่อเนื่อง

ฟากตลาดทุน 1 ปีที่ผ่านมา หุ้น Innovator อย่าง NVDIA หรือ Hyperscaler อย่าง Google, Microsoft และ Adapter อย่าง Meta Platform ต่างปรับตัวขึ้นกว่า 100-200% ไปแล้ว เหมาะสมที่เราจะกลับมาวิเคราะห์ธีม AI และประเมินผลกับเศรษฐกิจและการลงทุนต่อไปจากนี้

สำหรับธีม AI สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่การเติบโต แต่เป็นที่ระดับราคาที่สามารถเรียกได้ว่าเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ (Bubble) ไปแล้ว

แต่เหตุผลสำคัญที่ฟองสบู่ AI ไม่แตก ผมเห็นว่ามีด้วยกันสามเรื่องคือ 1.พัฒนาการที่รวดเร็วเกินคาด 2. ความกว้างและหลากหลายของธีม และ 3. การนำไปใช้ (Adoption) ที่รวดเร็วเหลือเชื่อเทียบกับเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกในอดีต

พัฒนาการทั้งเทคโนโลยีและรายได้เป็นสิ่งที่ไม่แผ่ว

ตัวอย่างสำคัญคือบริษัท NVDIA (NVDA) ที่เป็นเสาหลักของธีม AI จากข้อมูลของบริษัท ชิปที่ผลิตได้มีขนาดเล็กลงต่อเนื่อง ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นกว่า 6-7 เท่าในช่วงเวลาเพียง 2-3 ปี แถมรายได้เติบโตกว่า 200% ต่อปี ติดต่อกัน บริษัทอื่นในธีม Tech และ AI แม้จะทำผลงานได้ไม่เด่นเท่า แต่ก็สามารถเกาะแนวโน้มนี้ได้ทั้งหมด เมื่อ NVDA ไม่แผ่วโอกาสที่ตลาดจะเปลี่ยนทิศจึงมีน้อย

ประเด็นที่สอง คือความกว้างของประโยชน์จาก AI ยิ่งให้เวลา ก็ยิ่งมีหลาย Sector ให้ความสนใจ

ก่อนหน้านี้ ตลาดกังวลว่าการเข้ามาของ AI อาจเป็นประโยชน์เฉพาะกับผู้ประกอบการบางกลุ่ม และมนุษย์ทั่วอาจตกงาน ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว แต่ Goldman Sachs Global Investment Research (GS) เก็บรวบรวมข้อมูลความเห็นภาคธุรกิจ พบว่ามุมมองทางลบตีกลับเป็นบวกแล้วแทบทุกอุตสาหกรรม

บทวิเคราะห์ของ GS ระบุว่า CEO ของบริษัทส่วนใหญ่ใน S&P500 มองว่า AI จะส่งผลกับธุรกิจแน่ ต่างกันแค่มากหรือน้อย อุตสาหกรรมที่คาดว่าจะสามารถพัฒนากิจกรรมทางธุรกิจได้มากกว่า 50% ประกอบด้วย การบริการกฎหมาย วิศวกรรม การเงิน และการสื่อสาร มีเพียงธุรกิจก่อสร้าง สินค้าประจำ และภาคการผลิตเท่านั้นที่คาดว่า AI อาจกระทบน้อยกับธุรกิจไม่ถึง 10%

นอกจากนั้น GS ระบุด้วยว่าทุกการเปลี่ยนเทคโนโลยี แม้จำทำให้งานเก่าหายไป แต่สุดท้ายจะสร้างงานใหม่ขึ้นมากกว่า

เทียบจาก 400 ปีที่ผ่านมา 60% ของงานปัจจุบันไม่เคยมีมาก่อนในอดีต และงานใหม่เหล่านี้คิดเป็นกว่า 85% ของการจ้างงานใหม่ทั้งหมด ดังนั้นเมื่อมุมมองของภาคธุรกิจเปิดรับ โอกาสก็การลงทุนก็จะเกิดขึ้นตาม

ส่วนด้านการนำใช้ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์โลกที่เทคโนโลยีถูกใช้พร้อมกันทั่วโลกอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว

ChatGPT เป็นบริการที่ยืนหนึ่งด้วยกันมีผู้จ่ายเงินใช้บริการถึง 1 ล้านคน ภายในระยะเวลาเพียงห้าวัน เทียบกับไฟฟ้า หรือโทรศัพท์มือถือ กว่าจะมีผู้ใช้ถึงล้านราย ใช้เวลาหลักปี หรือขนาดเทียบกับบริการ Online ฟรีอย่าง Facebook กว่าจะมีผู้ใช้ถึง 1 ล้านยังใช้เวลาถึงกว่า 10 เดือน

ในช่วงที่ Adoption เฟื่องฟู การแข่งขันจะเกิดมากขึ้นแน่ เราจะเห็นบริการ AI แบบเดียวกันเกิดขึ้นซ้ำกัน ทุกบริการจะไม่ได้รับความสนใจไปทั้งหมด แต่สิ่งนี้จะทำให้เกิดวัฏจักรย้อนกลับ (Feedback loop) กลับไปพัฒนาเทคโนโลยีที่อยู่รอดเร็วขึ้น และสุดท้ายจะทำให้เทคโนโลยียิ่งถูกนำไปใช้เร็วขึ้นไปอีก

เมื่อมองทั้งสามมุมนี้ คงต้องสรุปว่า AI เป็น Tech ที่อยู่ในช่วงของต้นถึงกลางของการพัฒนาเท่านั้น รูปแบบของอุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์จะหลากหลาย อาจทำให้ต้องเริ่มต้นใหม่บ่อยครั้ง แต่ด้วย Adoption ที่รวดเร็ว จะทำให้กระแส AI อยู่กับตลาดต่อได้ไม่ยาก

สิ่งที่ต้องระวังสำหรับนักลงทุนคือการเติบโตสูง มาพร้อมกับความคาดหวังที่สูง ผลตอบแทนคุ้มค่าหรือไม่นั้น ยิ่งจะขึ้นอยู่กับการเติบโตในอนาคต

ผมใช้ Valuation ของกลุ่ม Software และ Semiconductor ที่เป็นองค์ประกอบหลักของ AI เปรียบเทียบกับตลาด จะพบว่าระดับราคาหุ้นต่อยอดขาย (P/S) ของกลุ่ม AI อยู่ที่ 6-8x สูงกว่าตลาดที่ 2x ถึง 3 เท่า ขณะที่ดัชนีกลุ่ม Tech เคยแตะสูงสุดที่ราว 6x ในช่วง Covid Lockdown และวิกฤติ Dot Com ก่องที่ฟองสบู่จะแตก หมายความว่าถ้าเราเทียบกับอดีต กลุ่ม AI ถือว่าแพงแล้วขณะที่ Downside Risk ที่อาจเกิดจากการกลับตัวไปที่ราคาเหมาะสมอาจสูงถึง 50% ทีเดียว

อย่างไรก็ดี ด้วยบริบทการเติบโตของ AI ที่ทำได้ดีกว่าตลาดคาดมาเสมอมา ผมมองว่าราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นใกล้เคียงกับรายได้ก็ไม่แปลก และจะน่ากังวลจริงก็ต่อเมื่อการเติบโตลดลงต่ำกว่า 15% ต่อปี

ถึงตรงนี้ ผมเชื่อว่าหลายท่านเชื่อว่า AI มีอนาคต แต่สำหรับการลงทุน อาจจะติดที่ระดับราคา ผมจึงนำตัวเลือกมาให้ 3 แบบ ให้ทุกท่านเลือกตามมุมมองและระดับความเสี่ยงที่ชอบ

(1) เน้น AI ชุดประหยัด BOTZ เลือกกระจายลงทุนทั่วโลก หวังผลการพัฒนาจากอุตสาหกรรม

Global X Robotics & Artificial Intelligence ETF (BOTZ) เลือกลงทุนในบริษัทแถวหน้าด้านนวัตกรรม เทคโนโลยี ระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และ AI ทั่วโลก เป็น ETF ที่กระจายการลงทุนไปนอกสหรัฐมากที่สุด จึงไม่แพงเมื่อเทียบกับธีม AI แบบอื่น มีสัดส่วนเอเชียและยุโรป 35% และ 17% ตามลำดับ

บริษัทที่ลงทุนมีตัวหลักอย่าง NVDA แต่นอกนั้นจะเป็นบริษัทด้านอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ราว 40% เช่น ABB, SMC, Keyence ผมมองว่าเป็น ETF ที่กระจากการลงทุนได้น่าสนใจ ผลตอบแทนจะกลับมาโดดเด่นได้ ถ้านักลงทุนเลือกเริ่มมองหาผู้นำด้าน AI นอกสหรัฐ

(2) AI ชุดฟื้นฐาน ลงทุนในเทคโนโลยีหลักผ่าน IGPT เน้นไปที่ Chip Makers และโครงสร้างพื้นฐานของเทคโนโลยี

สำหรับ IGPT หรือ Invesco AI and Next Gen Software ETF เป็นส่วนผสมของ Tech (64%) และ Communication Services (22%) มีบริษัทเทคโนโลยี AI หลักทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น AMD Intel Alphabet และ Adobe

จุดแข็งของ IGPT คือการรวมตัวกันของบริษัทใหญ่และเล็กที่เกี่ยวข้องกับ AI ไว้กว่า 100 บริษัท ทำให้ได้ความผันผวนลดลงเหลือเพียง 20-25% ใกล้เคียงกับตลาด แต่ได้ Beta 1.3 หมายความว่า ขาขึ้นสามารถชนะตลาดได้ไม่ยาก เหมาะกับนักลงทุนที่เชื่อว่าการพัฒนาด้าน AI ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น

(3) AI ชุด Premium ลงทุนกับบริษัทที่นำ AI ไปใช้สร้างการเติบโตกับ ARKW ผันผวนสูงที่สุด แต่รวมทุกกระแสไว้ในนี้

แม้ชื่อ ETF จะไม่มีคำว่า AI แต่ ARK Next Generation Internet ETF หรือ ARKW เป็นแหล่งรวมของบริษัทที่มีโอกาสจะเติบโตจากการนำ AI ไปประยุกต์ใช้ในธุรกิจ หุ้นใน ETF ประกอบด้วยกลุ่มเทคโนโลยี Communication Services และ Digital Finances ในสัดส่วนแต่ละอุตสาหกรรมราว 30%

ARKW เป็นการลงทุนที่นำ AI ไปหาเงิน ความคาดหวังกับโอกาสเติบโตของรายได้จึงสูงถึง 30% บนความผันผวน 45% Beta 1.5 เรียกได้ว่าเป็นการลงทุน AI เชิงประยุกต์ที่เสี่ยงที่สุด เหมาะสำหรับนักลงทุนที่เชื่อว่าถึงเวลาที่โลกจะนำ AI ไปใช้ในธุรกิจจริงได้แล้ว

ผ่านมาแล้วหนึ่งปี ผมเชื่อว่าธีม AI เปลี่ยนพอร์ตของนักลงทุนหลายคนไปแล้ว แต่ต่อจากนี้จะเปลี่ยนพอร์ตของเราได้อีกหรือไม่นั้น อยู่ที่เราเลือกลงทุน AI แบบไหนกันแน่ครับ

ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์

TSF2024