“This time is different” ดูจะเป็นวลีอมตะสำหรับวิกฤติเศรษฐกิจแทบทุกครั้งไม่ยกเว้นครั้งนี้ เพราะจนถึงปัจจุบัน นักวิเคราะห์ทั่วโลกก็ยังไม่สามารถหาตัวเทียบเคียงผลกระทบจากวิกฤติโคโรนาไวรัสในทั้งในเชิงเศรษฐกิจและตลาดการเงินได้จริง
ยิ่งไปกว่านั้น “ความต่าง” ในรอบนี้ก็ดูจะมีมากกว่าที่เราเคยเรียนในวิชาเศรษฐศาสตร์หรือการเงินอยู่อย่างมาก ผมจึงนำสิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้เห็น “เจ็ดเรื่อง” ในฝั่งสหรัฐมาสรุปให้ทุกคนฟังเพื่อจะได้เข้าใจตลาดหลังวิกฤติ และจะได้ช่วยกันมองหาอนาคตไปพร้อมกัน
1. เศรษฐกิจถดถอยเกิดขึ้นแรงแต่ก็สั้นมาก แม้สำนักวิจัยเศรษฐกิจแห่งชาติของสหรัฐ (NBER) จะกำหนดให้เศรษฐกิจเข้าภาวะถดถอยตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ซึ่งถือว่านับก่อนวิกฤติจริงเล็กน้อย แต่จากที่จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานลดลงเกินกว่า 10% ในช่วง 4 สัปดาห์ล่าสุด ก็เห็นได้ชัดว่าสหรัฐพ้นจากภาวะถดถอยไปแล้ว หมายความว่าเศรษฐกิจอาจฟื้นตัวตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งจะถือว่าหดตัวเร็วแต่กินระยะเวลาสั้นที่สุดเท่าที่เคยมีมา
2. เศรษฐกิจถดถอยแต่ความเชื่อมั่นในอนาคตกลับไม่ลดลง วัดได้จาก Conference Board’s Consumer Expectation ที่ย่อตัวลงเพียงเล็กน้อยในเดือนมีนาคม หลังจากนั้นก็เพิ่มกลับขึ้นมาโดยตลอด จนล่าสุดมุมมองในอนาคตของคนสหรัฐก็สูงกว่าช่วงเดือนตุลาคมปีที่แล้วไปแล้ว แปลว่าแม้จะตกงานแต่ก็ยังมองอนาคตว่าสดใส
3. เศรษฐกิจชะลอตัวแต่เงินในกระเป๋าของประชาชนกลับเพิ่มขึ้น นี่อาจเป็นเหตุผลของความมหัศจรรย์หลายอย่าง เมื่อรายได้เฉลี่ยของชาวสหรัฐกลับปรับตัวขึ้นราว 2% จากช่วงก่อนวิกฤติ แน่นอนว่าเป็นผลจากนโยบายช่วยเหลือของทางการ อย่างไรก็ดี เงินในกระเป๋านี้กลับไม่ทำให้การใช้จ่ายฟื้นตัวขึ้น แต่เป็นการออมที่สูงขึ้นหลังวิกฤติ แตกต่างอย่างมากจากทุกครั้งที่เราเคยพบมา
4. ดอกเบี้ยต่ำที่สุด แต่ตราสารหนี้ขายได้มากกว่าปรกติ และความเสี่ยงส่วนเพิ่มจากเครดิตก็ลดลงเร็วเหลือเชื่อ โดยในอดีตไม่มีวิกฤติครั้งไหนเลยที่ปริมาณการออกบอนด์ทั้งในฝั่ง Investment Grade และ High Yield จะเพิ่มสูงขึ้นได้ทันที แต่ในครั้งนี้ปริมาณตราสารหนี้ออกใหม่และขายได้ช่วงวิกฤติกลับมีมากกว่าก่อนหน้าถึง 2 เท่า ทำให้ความเสี่ยงส่วนเพิ่มจากเครดิตลดลง จนเหมือนตลาดลืมไปแล้วว่าในอนาคตมีบริษัทมากมายที่อาจต้องล้มละลายจากวิกฤติครั้งนี้
5. นักลงทุนสถาบันที่ถือหุ้นน้อยมากเมื่อเทียบกับในอดีต จากแหล่งข้อมูลของหลายวาณิชธนกิจในสหรัฐ พบว่าปริมาณหุ้นที่นักลงทุนสถาบันถือ อยู่ในระดับเพียงเปอร์เซ็นต์ไทล์ที่ 10 ของปรกติ และส่วนใหญ่เป็นการคงการลงทุนไว้ในหุ้นเติบโตขนาดใหญ่ แทบจะไม่มีการกลับเข้ามาซื้อเลยทั้งในช่วงที่ตลาดปรับตัวลงหรือขึ้นที่ผ่านมา
6. แต่นักลงทุนรายย่อยกลับเข้าตลาดมากที่สุดในทศวรรษ หลังจากปล่อยให้บริษัท นักลงทุนสถาบัน และต่างชาติซื้อขายหุ้นเป็นหลักในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา วิกฤติครั้งนี้ทำให้นักลงทุนรายย่อย (ที่อาจว่างอยู่บ้าน) กลับขึ้นมาเป็นผู้ซื้อหลักในหุ้นแทบทุกกลุ่มส่งผลให้ตลาดฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว เป็นกระแสซื้อหุ้น “ทุกตัว” ในตลาดไม่เว้นแม้แต่หุ้นของบางบริษัทที่ยื่นล้มละลายไปแล้ว
7. ระดับเงินสดในอุตสาหกรรมการเงิน เริ่มลดลงในช่วงที่ตลาดฟื้นตัวกลับมาในระดับเดียวกับก่อนวิกฤติ เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ไม่เหมือนวิกฤติครั้งไหน เพราะในทุกครั้งการถือเงินสดของอุตสาหกรรมการเงินจะลดลงตอนที่ตลาดแตะจุดต่ำสุด แต่ในครั้งนี้การลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น (Money Market) กลับเพิ่มขึ้นจาก 8 ล้านล้านดอลลาร์มาที่ 5 ล้านล้านดอลลาร์ ในช่วงที่หุ้นปรับตัวขึ้น และเงินดังกล่าวเพิ่งจะเริ่มลดลงในช่วงนี้ที่ตลาดหุ้นกลับมาอยู่ที่ระดับใกล้เคียงกับช่วงก่อนวิกฤติเศรษฐกิจเป็นที่เรียบร้อย
ทั้งหมดคือสิ่งมหัศจรรย์ทั้งเจ็ดในตอนนี้ ถ้าจะให้มองต่อว่าเรื่องมหัศจรรย์อะไรจะเกิดขึ้นต่อ ก็ต้องพยายามเข้าใจเหตุผลของความต่างทั้งหมดก่อน
โดยในฝั่งเศรษฐกิจ ผมเชื่อว่าประเด็นหลักคือนโยบายช่วยเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าครั้งไหนในประวัติศาสตร์ ขณะที่บริษัทใหญ่ ก็ดูจะมีความสามารถในการปรับตัวเข้าสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วจากเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า
แต่ในฝั่งของมุมมองนักลงทุน กลับคล้ายกับอาการ “เมาสภาพคล่อง”
และอารมณ์ตลาดดูจะใกล้กับวิกฤติ Dot Com ปี 2000 มากที่สุด เนื่องจากนักลงทุนรายย่อยดูจะมีความหวังและมีความเพลิดเพลินในการเก็งกำไรในหุ้นมาก
ภาวะเช่นนี้มองจาก “มุมความเสี่ยง” ก็น่ากลัวเพราะราคาสินทรัพย์จะสูงห่างจากพื้นฐานขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดอาจมีเหตุที่ทำให้ฟองสบู่สินทรัพย์ทางการเงินนี้ต้องแตกลงในท้ายที่สุด
แต่ใน “มุมโอกาส” การที่นักลงทุนสถาบันและบริษัทใหญ่ยังถือแต่เงินสดอยู่
ก็มีความเป็นไปได้สูงที่ในอนาคตเราจะได้เห็นการเคลื่อนย้ายของเงินลงทุนจาก “ของที่ทุกคนมี” อย่างบอนด์และหุ้นเติบโตสูง ไปสู่ “ของที่ไม่มีใครมี” อย่างหุ้นมูลค่าหรือตลาดเกิดใหม่จนเศรษฐกิจอาจกลับมาฟื้นตัวเร็วอย่างที่ใครก็ไม่คาดคิดได้เหมือนกัน
ทางที่ดีคือ “อย่ากลัวหรือกล้ามากเกินไป” เพราะตลาดการเงินครั้งนี้มีเรื่องมหัศจรรย์รออยู่อีกมากมายแน่นอนครับ
ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์