3 ความท้าทายกับคำถามเดียว ว่าควรมีหุ้นจีนในพอร์ตเราไหมในอีก 10 ปีข้างหน้า

ปี 2023 กำลังจะจบไป และหนึ่งในการลงทุนที่ทำให้นักลงทุนผิดหวังมากที่สุดคงไม่พ้นหุ้นจีนที่ทำผลงานดีแค่เดือนแรกแต่หลังจากนั้นก็ปรับฐานมาตลอดปี

ยิ่งมองย้อนกลับไปทั้งทศวรรษที่ผ่านมา ดัชนี MSCI China ปัจจุบันอยู่แค่ระดับใกล้เคียงกันกับเมื่อ 10 ปีที่แล้วเสียด้วย ยิ่งทำให้นักลงทุนต้องกลับมาคิดว่าทศวรรษหน้า จำเป็นต้องมีหุ้นจีนอยู่ในพอร์ตไหม หรือถ้าอยากมี ต้องเป็นหุ้นจีนแบบไหนกันแน่

เริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจเศรษฐกิจและตลาดหุ้นจีน ที่เรากำลังจะต้องเผชิญในอนาคตก่อน เรากำลังจะพบกับ “สามความท้าทาย” ที่หนีไม่ได้

เรื่องแรก เศรษฐกิจจีนจะไม่เติบโตมหัศจรรย์เหมือนทศวรรษก่อน

จุดสำคัญคือตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากหลังโควิด

ทุกสัญญาณพลิกกลับมาเป็นขาลง ไม่ว่าจะเป็น ยอดซื้อ ราคาบ้าน หรือการก่อสร้าง การเติบโตในกลุ่มอสังหาฯ ที่เคยเป็นลมหนุนกับเศรษฐกิจ 2-3% ในช่วงทศวรรษก่อน จะเป็นลมต้านของเศรษฐกิจราว 1-2% ไปอย่างน้อยถึงช่วงกลางทศวรรษ 2030

นอกจากนั้นโครงสร้างประชากรก็ผ่านจุดสูงสุด 1.42 พันล้านคนไปแล้วในปี 2021 ต่อจากนี้มีแต่จะทรงตัวไปจนถึงปี 2050

ผลกระทบทางเศรษฐกิจ จะเห็นชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ โดยทั้งปริมาณ ราคา และการกู้ยืม ที่ลดลง จะกดเศรษฐกิจจีนให้เติบโตเพียง 4.0-4.5% ตลอดทั้งทศวรรษ

ความท้าทายที่สอง คือนโยบายเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไปเป็นการตั้งรับ

นั่นเป็นเพราะว่า ระดับหนี้ของภาคเอกชนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนสร้างความกังวลเรื่องเสถียรภาพ

ย้อนกลับไปเมื่อต้นวิกฤติ GFC ระดับหนี้ของเอกชนจีนรวมทั้งหมดอยู่ไม่ถึง 150%GDP แต่ปัจจุบันเพิ่มขึ้นมาถึง 289% GDP หนี้เหล่านี้กว่า 20% เกี่ยวข้องกับธุรกิจอสังหาฯ อีกกว่า 25% มาจากรัฐบาลท้องถิ่น เป็นไปได้ยากที่จะปรับตัวลดลง

ในมุมมองของภาครัฐ ทางเลือกมีแค่สองแบบคือ กระตุ้นต่อและลุ้นว่าจะไม่เข้าสู่วิกฤติและทศวรรษที่อาจหายไปแบบญี่ปุ่น หรือยอมเติบโตน้อย มีคนตกงานบ้าง แต่ไม่เสี่ยงเข้าสู่วิกฤติ

เป็นไปได้สูงที่รัฐจะเลือกตั้งรับและกระตุ้นเศรษฐกิจเฉพาะเพื่อการปรับโครงสร้าง หรือเมื่อมีปัญหา

ความท้าทายที่สาม คือปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ ยากจะคืนดีกับสหรัฐ

ย้อนกลับไปก่อนที่จีนจะเข้าสู่ WTO การค้าระหว่างสหรัฐและจีนเติบโตขึ้นมามากกว่าถึง 10 เท่าตัว แม้จะย้อนกลับไปตั้งแต่ในช่วงปี 2017 ที่เริ่มมีปัญหาสงครามการค้า การซื้อขายระหว่างกันก็ยังมีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึงกว่า 30%

แต่ล่าสุด ปัญหาในเชิงความคิดและการแข่งขันทางเศรษฐกิจ ดำเนินมาถึงจุดที่สหรัฐหันไปพึ่งประเทศอื่น จนความเป็นคู่ค้าหลักของจีนจบลงไปตั้งแต่ปี 2022

ความท้าทายนี้ ในโลกเศรษฐกิจอาจแก้ไขได้ด้วยการหาคู่ค้าใหม่ที่มีขนาดใหญ่มาแทนที่ แต่ในโลกของการเงิน ยากมากที่จะหาประเทศหรือผู้บริหารเงินขนาดใหญ่นอกเหนือจากสหรัฐ

ความท้าทายเหล่านี้ ทำให้มุมมองรายได้ในอนาคตมีโอกาสที่จะชะลอตัวลง การลงทุนจะอ้างอิงกับนโยบายภาครัฐมากขึ้น และที่น่ากังวลที่สุด ถ้าไม่มีเงินทุนเคลื่อนย้ายจากต่างชาติ มูลค่าตลาดอาจเปลี่ยนแปลงไม่ได้

ในมุมมองของผม หุ้นจีนมีความยากลำบากต่อไปในทศวรรษหน้า ไม่ต้องสะสมเกินสัดส่วนปรกติ แต่ถ้าใครอยากลงทุนจีนเป็นพิเศษ ต้องเลือกธีมลงทุนให้ดี

ธีมลงทุนแรก China Consumption เน้นไปที่เอกลักษณ์ความเป็นจีน

เปรียบเทียบกับช่วงทศวรรษที่หายไปของญี่ปุ่น บริษัทที่อยู่รอดหรือทำผลงานได้โดดเด่น ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทอยู่ในธุรกิจระดับโลกแต่มีความเก่งเฉพาะด้าน

สำหรับในจีนธุรกิจกลุ่มนี้คือ กลุ่มอาหาร เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย และของใช้ฟุ่มเฟือย ไปถึงธีมกั๋วฉาว (Guo Chao) ที่จับความเป็นจีนขึ้นมาเป็นจุดขาย

ธีมลงทุน China Going Global ให้ความสำคัญกับประเทศฝั่งเอเชีย

เน้นไปที่กลุ่ม Exporters การท่องเที่ยว และบริการที่สามารถใช้ได้ร่วมกันทั้งในเอเชีย ส่วนใหญ่มักอยู่ในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ การเดินทาง บริการการท่องเที่ยว และบริการด้านสุขภาพ

และธีมที่ขาดไม่ได้คือ China New Technology

แม้กระแส Generative AI ในจีนจะเกิดช้ากว่าทั่วโลก แต่ด้วยกฎหมาย ขนาดประชากร และโครงสร้างพื้นฐาน ในที่สุดจีนจะผงาดขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้นำด้าน AI ในอนาคตแน่นอน

กลุ่ม Little Giant กว่า 10,000 บริษัท จะได้รับการสนับสนุนด้านข้อมูล และเงินทุนจากรัฐบาลกลาง เป็นกลุ่มแรกที่จะร่วมสร้างอุตสาหกรรมใหม่

มุมมองของผม คิดจะลงทุนในจีนบนสามความท้านทาย คำตอบเดียวคือต้องกล้าปรับพอร์ต เลือกเฉพาะธีมลงทุนที่เหมาะสมครับ

ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์

TSF2024