สรุปประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้น และประเด็นที่น่าจับตามองในไตรมาส 4 ปี 2564 ของสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น จีน อินเดีย เวียดนาม และ Commodity
วันนี้ เด็กการเงิน ขอมาสรุปข่าวสำคัญทั่วโลกที่ควรติดตามตลอดทั้งไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ พร้อมกองทุนแนะนำโดยเด็กการเงิน
ทั้งนี้ คำแนะนำและความเห็นที่ให้ไว้ มาจากการฟังและอ่านข่าวจากหลาย ๆ แห่ง ผสมกับมุมมองของเด็กการเงินเอง
สหรัฐฯ
1) ตลาด Priced in ข่าว QE Tapering แล้ว มีความน่ากังวลน้อย และตลาดคาดว่าจะเริ่มเดือน พ.ย.
- Fed มีการสื่อสารกับนักลงทุนเป็นอย่างดีมาหลายเดือน ทำให้ตลาดไม่มีความตกใจในการทำ QE Tapering มากนัก
- Fed จะลดการเข้าซื้อสินทรัพย์เดือนละ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ทำให้ Fed Balance Sheet ยังคงโตขึ้น แต่โตขึ้นในอัตราที่ชะลอลง
- ในเดือน มิ.ย. 2022 Fed Balance Sheet ยังโตอยู่ที่ 8 ล้านล้านดอลลาร์ ดังนั้นสภาพคล่องในตลาดไม่ใช่ประเด็นที่น่ากังวล
2) ติดตามโอกาสที่ดอกเบี้ยจะถูกปรับขึ้นในปี 2022 ผ่านตัวเลขเศรษฐกิจ การจ้างงาน
- ตัวเลขเศรษฐกิจ การจ้างงาน เป็นตัวเลขที่ Fed ให้ความสำคัญที่เพราะตัวเลขเหล่านี้จะบอกได้ว่าสภาพเศรษฐกิจพร้อมที่จะรับมือกับการขึ้นดอกเบี้ยแล้วหรือไม่
- ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญได้แก่ เงินเฟ้อ, Nonfarm Payroll, Unemployment Rate, Weekly jobless claims
- Dot Plot ที่มาจากคณะกรรมการ Fed มีความไม่แน่นอน เพราะอาจมีการเปลี่ยนตัวบุคคลได้ อย่างที่เห็นว่าล่าสุดกรรมการ Fed 2 ท่านก็ลาออกไป และมีสิทธิ์เปลี่ยนตัว นายเจอโรม พาวเวล
- ดังนั้น ให้ดูตัวเลขเศรษฐกิจภาคแรงงานก่อนเป็นอันดับแรก แล้วค่อยดูความเห็นของคณะกรรมการ Fed เพิ่มเติม
3) เพดานหนี้สาธารณะถูกเลื่อนออกไปจาก 18 ต.ค. เป็นต้น เดือน ธ.ค. ช่วยเลี่ยงให้สหรัฐฯ เจอปัญหาผิดนัดชำระหนี้ได้ ทั้งนี้จะเป็นช่วงเดียวกันกับการพิจารณาเรื่องงบประมาณชั่วคราว เพื่อเลี่ยงปัญหา Government Shutdown ด้วย
4) ติดตามเรื่องงบโครงสร้างพื้นฐาน 3.5 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
- ผลักดันให้ผ่านร่างโครงสร้างพื้นฐาน 3.5 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ นำไปสร้างถนน สะพาน Broad brand ต่าง ๆ ให้ดีขึ้น ส่งผลให้ Nonfarm payroll, Unemployment rate ดีขึ้น
- ซึ่งการจะนำเงินมาใช้ในโครงสร้างพื้นฐานเยอะขนาดนั้น ทำให้ต้องมีการขึ้นภาษี 28-29% แต่ทางพรรค Republican ก็มีการต่อรองปรับลดเหลือ 26% ซึ่งประเด็นในเรื่องการขึ้นภาษีต้องคอยติดตามกันต่อไป
5) ติดตามการประชุม Fed วันที่ 2-3 พ.ย. และ 14-15 ธ.ค.
ความเห็นของเด็กการเงิน: ถ้าหากเป็นสหรัฐฯ ล้วน แนะนำให้ Buy on dip แต่เพื่อกระจายความเสี่ยง แนะนำให้ลงทุนกองทุน Global Equity ที่มี Universe กว้างกว่าและมีการบริหารแบบ Active ช่วย ซึ่งสหรัฐฯ เป็นหลักใน Global Equity อยู่แล้วจึงต้องใช้ Selection ช่วย โดยเรามองว่ากลุ่ม Developed Market มีความน่าสนใจเพราะ มีสถาบันการเงินช่วย stabilize และค่อนข้างเสรี ไม่โดนแทรกแซงและมี Regulatory Risk ต่ำ นอกจากนี้ ถ้าหากมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย Fund Flow ก็จะไหลกลับประเทศกลุ่ม Developed Market แต่ไม่รุนแรงแบบปี 2013
กองทุนที่แนะนำโดยเด็กการเงิน: SCBUSAA, TMBUSBLUECHIP
ยุโรป
1) ECB มีการส่งสัญญาณเล็ก ๆ ที่จะผ่อนคลายนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยลดวงเงิน PEPP ลงเล็กน้อย
- ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะลดวงเงินการซื้อพันธบัตรภายใต้โครงการ Pandemic Emergency Purchase Programme หรือ PEPP ลงเล็กน้อยจาก 8 หมื่นล้านยูโรในช่วงเดือน ธ.ค. ซึ่งนักวิเคราะห์คาดจะลดลงมาอยู่ที่ 6-7 หมื่นล้านยูโร ถือเป็นสัญญาณเล็ก ๆ ในการผ่อนคลายนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งแรกของ ECB นับตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด-19
- การผ่อนคลาย Lockdown และกลับมาเปิดเมืองอีกครั้งช่วยหนุนตัวเลขเศรษฐกิจทั้งภาคการ ผลิตและบริการ ในขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียนยังคงปรับประมาณการเพิ่มขึ้น แม้มีโอกาสที่ ECB จะลดวงเงิน PEPP ลง แต่คาดว่าจะไม่กระทบต่อตลาดมากนักเนื่องจาก ECB จะดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป
2) ติดตามการประชุม ECB วันที่ 28 ต.ค. และ 16 ธ.ค.
3) ช่วงนี้ (ปลายเดือน ก.ย. ถึง ต.ค.) เผชิญปัญหาเชื้อเพลิงและน้ำมันขาดแคลน
4) ติดตามการจัดตั้งรัฐบาลของเยอรมนี หลังนางแมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนีจะสิ้นสุดการดำรงแหน่งนายกฯมายาวนานถึง 16 ปี ถือเป็นผู้นำที่ทรงอิทธิพลในยุโรป
- มีการเปลี่ยนขั้วจาก CDU เป็น SPD โดยพรรค SPD ได้คะแนนเสียงไป 25.7% ขณะที่พรรค CDU ภายใต้การนำของนายอาร์มิน ลาเชต ที่ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคต่อจากนางแมร์เคิลได้ไป 24.1%
- พรรค SPD มีนโยบายขึ้นภาษีคนรวย ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ขณะที่พรรค CDU ค่อนข้าง Conservative ไม่รีบร้อนขึ้นอัตราดอกเบี้ย ไม่รีบร้อนไปใช้พลังงานสะอาด
- มีพรรคที่ได้รับคะแนนเสียงเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญคือพรรค Greens และคาดว่าจะอยู่ฝั่งพรรค SPD
ความเห็นของเด็กการเงิน: ยุโรปยังคงน่าสนใจ เนื่องจากคุณภาพของ Earning และบรรยากาศนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย อย่างไรก็ตามมีความเสี่ยงจากราคาพลังงานที่สูง กดดันกลุ่มการผลิต
กองทุนที่แนะนำโดยเด็กการเงิน: SCBEUROPE(A), MEURO
ญี่ปุ่น
1) ตลาดหุ้นญี่ปุ่นยังคง laggard ตลาด Developed Market จากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้าและมีการ Lock Down หลายครั้ง
2) สถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้นเรื่อย ๆ โดยจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ลดลง มีการเร่งฉีดวัคซีนในระดับที่สูง คาดว่าจะถึง 60-70% ของประชากรทั้งหมดภายในปลายปีนี้
3) มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่รออยู่ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ประเทศ
- นายฟูมิโอะ คิชิดะ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของญี่ปุ่นได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) และเป็นว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ มีนโยบายสนับสนุนทางการเงินและการคลังกว่า 30 ล้านล้านเยน เน้นกลุ่มรายได้ต่ำ ชนบท และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ
- จะไม่เพิ่มภาษีการบริโภคไปอีก 10 ปี เพื่อสนับสนุนการบริโภคภายในประเทศ
4) ตั้งเป้า Net-Zero Carbon ภายในปี 2050
5) ในระยะยาวญี่ปุ่นอยู่ในยุคเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมจาก Traditional Automobile, Bank, Consumer Electronics ไปเป็น Factory Automation, 5G, Fintech, E-commerce
6) ติดตามการประชุม BoJ วันที่ 28 ต.ค. และ 17 ธ.ค.
ความเห็นของด็กการเงิน: ญี่ปุ่นน่าสนใจในระยะสั้นถึงกลาง เพราะมีปัจจัยบวกรออยู่จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ การเร่งฉีดวัคซีนที่เร็ว และการเลื่อนการขึ้นภาษีนิติบุคคลออกไปไม่มีกำหนด ค่อนข้างแน่ว่านายกฯ คนใหม่จะเรียกความเชื่อมั่นครั้งใหญ่ พร้อมการเปิดประเทศ
กองทุนที่แนะนำโดยเด็กการเงิน: ONE-UJE-RA, ASP-JHC
จีนและฮ่องกง
1) จากเรื่อง Regulatory Risk ในจีน ทำให้หลายกลุ่มโดนจัดระเบียบแล้ว ยกเว้นบุหรี่และเหล้า รวมถึง Health Care
- Big Tech ถูกจัดการแล้ว อย่าง Alibaba ที่มีการผูกขาด
- รัฐบาลจีนให้ความสำคัญเรื่องข้อมูลมาก (Data privacy) กลัวว่าข้อมูลจะรั่วไหล โดย Didi ที่เป็นแอปฯ คล้าย Uber ถูกเล่นงาน เนื่องจากข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญต่อการผลิต รัฐบาลจีนกลัวเรื่องความมั่นคง กลัวข้อมูลแผนที่จะไปอยู่ในมือสหรัฐฯ
- Ant Group ต้องแยกธุรกิจสินเชื่อออกจาก Alipay เพื่อความมีเสถียรภาพของสถาบันการเงิน
- สถาบันกวดวิชาอย่าง TAL ถูกสั่งให้เป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร เพราะไม่อยากให้เด็กเคร่งเครียดในการเรียน และลดภาระผู้ปกครอง
- Tencent โดนทั้งเรื่อง E-Commerce, Game และ Music Streaming
2) Common Prosperity เปลี่ยนจากการเติบโตเชิงปริมาณ ไปเป็นการเติบโตเชิงคุณภาพ
- ต้องการเปลี่ยนโครงสร้างสังคมจีนจากพีระมิดให้เป็นรักบี้ คือให้คนส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลาง มีการกระจายรายได้ และฐานะความเป็นอยู่ ซึ่งจะช่วยในเรื่อง SME ด้วย
- กลุ่มคนรวย บริษัทและนักธุรกิจเป็นกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบ โดยอาจจะมีการขอความร่วมมือ หรือมีเรื่องการขึ้นภาษีมาเกี่ยวข้อง
3) หนี้สินของ China Evergrande ไม่ได้เยอะเมื่อเทียบกับหนี้สินทั้งหมดในจีน แต่ทำให้เสีย Sentiment ในการลงทุน
- อสังหาริมทรัพย์ของจีนคิดเป็น 30% ของ GDP
- China Evergrande มีส่วนแบ่งการตลาด 4-6% และมีหนี้สินเพียง 0.6% ของสินเชื่อทั้งหมดในจีน (หรือประมาณ 300,000 ล้านดอลลาร์)
- ติดตามว่า China Evergrande จะทำอย่างไร ก่อนจะถูกประกาศ Default ถ้าหากไม่สามารถจ่ายคืนหนี้ได้ภายใน 30 วัน
4) เติบโตแบบสมดุล เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Low Carbon Economy) กับวิกฤตขาดแคลนพลังงาน
- วิกฤตพลังงานในจีนตอนนี้เกิดขึ้นเนื่องจาก Demand กลับมาหลังจากสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น ซึ่งถ่านหินราคาสูงขึ้น แต่ขุดได้น้อยลง
- ที่ธุรกิจจีนเติบโตได้มากในอดีตเนื่องจากใช้ถ่านหินในการผลิตพลังงานจำนวนมาก แต่ปัจจุบันมีวาระทางสิ่งแวดล้อมเข้ามา จีนมีนโยบาย Carbon neutral ภายในปี 2060
- ต้องหาวิธีการแก้ปัญหา เพื่อเพิ่มสำรองถ่านหินในประเทศ เพราะจะเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว
- ปกติจะนำเข้าถ่านหินจากออสเตรเลีย แต่ตอนนี้ทำไม่ได้ เพราะมีปัญหาการเมืองกัน ซึ่งขอให้ขุดถ่านหินในประเทศเพิ่มขึ้นได้ แต่ต้องมีมาตรการในการจัดการสิ่งแวดล้อม
- เปิดเสรีตลาดพลังงาน ให้รัฐกำหนดราคาพลังงาน
- เชื่อมโยงโครงสร้างไฟฟ้าระหว่างรัฐ
- ระยะยาวมีการเน้นพลังงานสะอาด ตั้งเป้าใช้พลังงานทดแทน 20% ภายในปี 2025 แต่พลังงานหมุนเวียนพวกนี้จะไม่เสถียรเนื่องมาจากปัญหาความไม่แน่นอนของสภาพอากาศ
แนวทาง Clean Energy ในจีน
- Alternative Energy
- Sustainable Water
- Green Building
- Pollution
- Energy Efficiency
5) ติดตามการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) ในเดือน พ.ย. และการประชุมด้านเศรษฐกิจส่วนกลางจีน (CEWC) ประจำปี 2021 ในเดือน ธ.ค.
ความเห็นของเด็กการเงิน: เรามีความชอบในจีนกลุ่ม A-Shares ซึ่งมีกลุ่ม Information Technology ต่ำ แต่ทดแทนด้วยหุ้น Backbone ของประเทศอย่างกลุ่มการเงิน และการผลิต ซึ่งมี regulatory impact น้อยกว่ากลุ่ม IT และของฟุ่มเพือยมาก และชอบในกลุ่มพลังงานสะอาด (China Clean Energy) ที่จีนเร่งการเติบโตในส่วนนี้ ปล่อยให้เกิดการขยายตัวของกิจการ และผลิตภัณฑ์ที่มี cost competitive เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าพลังงานใน 1-2 ทศวรรษข้างหน้า
กองทุนที่แนะนำโดยเด็กการเงิน: KT-ASHARES-A, P-CGREEN
อินเดีย
1) การเติบโตของ GDP ตลาดหุ้นอินเดียมีการปรับประมาณการณ์ขึ้นในปีหน้าที่ 9.2% แต่ปีนี้มีปรับลดลงเล็กน้อยที่ประมาณ 8%
2) มูลค่าพื้นฐานของตลาดหุ้นอินเดีย มีความแพงกว่า S&P500 ในระยะสั้นมีการปรับประมาณการณ์เพิ่มขึ้น โดยรวมถือว่าแพง
3) ธนาคารกลางอินเดียยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ตามคาด และให้คำมั่นที่จะรักษาสภาพคล่องในตลาด
4) ติดตามประเด็นด้านปัญหาด้านพลังงาน ผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ไม่เพียงพอ เป็นผลมาจากราคาถ่านหินสูง แต่ล่าสุดอินเดียเปิดเผยว่ามีสต็อกถ่านหินเพียงพอให้ใช้ผลิตไฟฟ้า
ความเห็นของเด็กการเงิน: แนะนำให้ Buy-on-Dip ไม่ไล่ตามราคา ทั้งนี้มีความน่าสนใจในระยะยาวจากจำนวนประชากรที่มีจำนวนมาก เน้นลงทุนเกี่ยวกับการบริโภคภายในประเทศ และเป็นประเทศที่สร้างเทคโนโลยีเก่ง คนเก่ง ค่าแรงถูก
กองทุนที่แนะนำโดยเด็กการเงิน: B-BHARATA
เวียดนาม
1) เวียดนามกำลังก้าวไปสู่ฐานการผลิตที่สำคัญของโลก เน้นการบริโภคภายในประเทศ และมีการส่งออกโดดเด่น
- GDP เติบโตจากการบริโภคภายในประเทศ โดยประชากรวัยหนุ่มสาวแรงงาน โดยเฉลี่ย 30 ปี ที่มีกำลังใช้จ่ายเต็มที่
- GDP ภาคการผลิตเน้นไปที่สินค้าอุตสาหกรรม การบริการ ค้าปลีก และก่อสร้าง
- แรงงานมีค่าแรงถูกเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เป็นฐานการผลิตสินค้าที่สำคัญของกลุ่มประเทศในเอเชีย และกลุ่มประเทศตะวันตก และนักลงทุนต่างชาติยังคงใช้ประเทศเวียดนามเป็นฐานการผลิตต่อเนื่อง เนื่องจากมีสิทธิพิเศษทางภาษีในการค้าระหว่างประเทศ เช่น กับ USA และ EU เป็นต้น คาดว่าการส่งออกยังคงดีต่อไป
2) ความเจริญจากเมืองสู่ชนบท หรือนิคมอุตสาหกรรม (Urbanization) โอกาสความเจริญขยายจากเมืองโฮจิมินห์และเมืองฮานอยไปยังเมืองโดยรอบมากขึ้น เป็นโอกาสของอสังหาริมทรัพย์
3) ประชาชนยังคงมีหนี้ต่อ GDP ต่ำ แสดงถึงความมั่นคงทางการเงินของครอบครัว หรือสามารถสร้าง leverage ในการบริโภคได้อีกมากผ่านการกู้ยืม
4) จำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิต ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเวียดนามได้เข้าร่วมกับ COVAX เลยทำให้ฉีดวัคซีนได้เร็วมาก ๆ ตอนนี้ถึง 50% ของ Population แล้ว โดยฉีดพวก mRNA และ AZ เป็นหลัก
5) Google Mobility ตอนนี้ดูค่อย ๆ ฟื้น โดยการ lockdown ที่ทำมา ทำให้เกิด demand shock เพราะทำเหมือนที่จีน แต่เมื่อเดือนที่แล้ว ตอนนี้รัฐบาลเหมือนจะเปลี่ยนความคิด และเริ่มผ่อนคลายมาตรการ lockdown
6) EPS Momentum เทียบกับ S&P500 ตอนนี้ทำจุดสูงสุดใหม่ แสดงว่า relative แล้วแข็งแรง โดยราคายังไม่ได้ทำจุดสูงสุดใหม่
- การปรับประมาณการของเวียดนาม ไม่ค่อยมีปรับลดลงทั้งในปี 2020-2021 นักวิเคราะห์มองจุดต่ำสุดน่าจะเป็นไตรมาส 3 ที่ผ่านมา
- P/E ของเวียดนาม ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเมื่อเทียบกับ S&P500
7) GDP ปรับตัวลง โดยหุ้นในเวียดนามอาจจะไม่ได้สะท้อนเศรษฐกิจเวียดนามมาก แต่ทั้งนี้ปีหน้า GDP ปรับขึ้น
ความเห็นของเด็กการเงิน: ให้ทยอยสะสม และมีความน่าสนใจระยะยาวจากที่จะเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของโลก เน้นการบริโภคภายในประเทศ และมีการส่งออกที่โดดเด่น
กองทุนที่แนะนำโดยเด็กการเงิน: PRINCIPAL VNEQ-A, ASP-VIET
Commodity
Oil – เมื่อเงินเฟ้อไม่ใช่ Transitory อย่างที่เราเข้าใจกัน และ Supply ของพลังงานมีอยู่จำกัด คาดว่าราคาพลังงานจะอยู่ในระดับที่สูง จนกว่าจะผ่านหน้าหนาวของตะวันตกและเอเชียเหนือไป อย่างน้อย 1-2 ไตรมาส การลงทุนในกองทุน Oil Futures ต้องทำโดยระมัดระวัง โดยปัจจัยที่ต้องติดตามคือการเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+ ที่ค่อนข้างเป็นไปได้ เพื่อแทรกแซงราคาตลาด แนะนำมี postion ลงทุนระยะสั้นเท่านั้น
Gold – ทองมีมุมมองที่เป็นสินทรัพย์ที่ทำหน้าที่ได้ดีเมื่อยามมีเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตามการที่ลด QE ลง จะทำให้มีผลของ Dollar แข็งค่า ซึ่งเราไม่แนะนำให้ Bet ทองคำในมุมของเงินเฟ้อ vs. Dollar แข็งค่า ว่าจะเลือกทางไหน จึงแนะนำไม่ให้ overweight ทองคำ เพียงแต่มีอยู่ในพอร์ตเพื่อกระจายความเสี่ยงที่สัดส่วน 5-10%
กองทุนที่แนะนำโดยเด็กการเงิน: SCBCOMP, TMBOIL และ SCBGOLDH
เด็กการเงิน DekFinance
ที่มาบทความ: https://www.facebook.com/DekFinance101/posts/272907538060050
คำเตือน
ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”