รู้จักกับ DaddyTrader
ที่มาของชื่อ DaddyTrader (เทรดเดอร์พ่อลูกอ่อน) มาจากเนื้อหาส่วนใหญ่ของบทความที่ผมเขียนจะเป็นความรู้เกี่ยวกับการวิเคราะห์ทางเทคนิค และส่วนตัวก็เป็นคนที่ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคประกอบการตัดสินใจลงมือซื้อขายหุ้นและอนุพันธ์ ในนามปากกาจึงลงท้ายด้วยคำว่า “Trader” ซึ่งในช่วงเวลาเปิดตัวเป็น Blogger ผมเพิ่งได้สถานะเป็นคุณพ่อมือใหม่ของลูกน้อยอายุขวบเศษ เลยคิดว่าอยากจะใช้นามปากกานี้เพื่อประโยชน์ในการรำลึกว่า ช่วงเวลาที่เราเริ่มต้นกิจกรรมเขียนบทความ เป็นช่วงเวลาที่เค้ายังเป็นเด็กอ่อนนั่นเอง ซึ่งถ้านักลงทุนคนไหนสนใจทดลองอ่านผลงานก็สามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ www.daddytrader.guru หรือเว็บไซต์ www.finnomena.com ได้เลยครับ
สาเหตุที่ผมได้มีโอกาสได้ศึกษา ใช้งาน และแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับการลงทุนโดยใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค เนื่องจากงานประจำที่ผ่านมาทั้งที่บริษัทหลักทรัพย์และที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้นจะเกี่ยวข้องกับการพัฒนาและให้ความรู้ด้านตราสารประเภทอนุพันธ์ เช่น Futures, Options เป็นต้น ซึ่งการวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นแนวทางที่สำคัญและได้รับความนิยมอย่างมากจากนักลงทุนที่ลงทุนในตราสารเหล่านี้
ถึงแม้ว่าผมใช้แนวทางในการวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อทำกำไรในหุ้นและอนุพันธ์ แต่ต้องบอกว่าผมไม่ได้ทุ่มเงินทั้งหมด 100% ที่มีไปในการลงทุนด้วยแนวทางนี้เพียงอย่างเดียว ผมจัดสรรเงินลงทุนส่วนตัวด้วยการแบ่งเงินส่วนหนึ่งไปสร้างผลกำไรโดยใช้แนวทางของการวิเคราะห์ทางเทคนิค และนำเงินอีกส่วนไปลงทุนด้วยวิธีจัดพอร์ตอย่างง่าย ที่ไม่ซับซ้อน ไม่ต้องเสียเวลาติดตามมาก แต่ให้ผลตอบแทนที่อยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยในบทความนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังครับว่าผมมีแนวทางและมุมมองอย่างไรในการจัดพอร์ตส่วนตัว ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกันกับแผนการลงทุน “Long Term Defensive Plus”
พอร์ตโฟลิโอของแผนการลงทุน Long Term Defensive Plus
แนวทางการจัดพอร์ต Long Term Defensive Plus นั้นต้องบอกว่าใช้สไตล์การลงทุนแนวอนุรักษ์นิยมแบบดั้งเดิม โดยใช้แนวความคิดในการจัดพอร์ตการลงทุนที่มุ่งเน้นผลตอบแทนจากการลงทุนระยะยาว ซึ่งความหมายของคำว่า “ระยะยาว” ของผมนั้น คือ การลงทุนที่กินระยะเวลามากกว่า 7-10 ปีขึ้นไป หรือเกินกว่า 20 ปีขึ้นไปได้จะยิ่งดีมาก ๆ ดังนั้นในสิ่งสำคัญที่ผมสนใจลงทุนด้วยแผนนี้จะต้องรู้และยอมรับ คือ ในช่วงที่สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำหรือตลาดหุ้นมีการปรับตัวลดลง พอร์ตการลงทุนอาจเกิดภาวะขาดทุนกินระยะเวลาพอสมควร (เนื่องจากพอร์ตมีการลงทุนในตราสารทุนคิดเป็นสัดส่วน 50%)แต่ในระยะยาวแผนการลงทุน Long Term Defensive Plus คาดว่าจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยไว้ที่ 7-8% ต่อปี (ไม่ได้การันตีผลตอบแทนนะครับ)
กลยุทธ์ของพอร์ต
สำหรับสัดส่วนที่เป็นตราสารทุนในพอร์ตโฟลิโอที่เป็นการลงทุนในระยะยาว ในกรณีที่เราไม่ได้มีความเชี่ยวชาญหรือเราไม่มีเวลาทุ่มเทความพยายามในการศึกษาหาความรู้ในการวิเคราะห์หุ้นมากนัก ผมขอแนะนำสูตรลัดในการลงทุน คือ ให้กระจายการลงทุนในกลุ่มของหุ้นตัวใหญ่ ๆ ที่มีการมีความมั่นคงยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจระยะยาว หรือจะกระจายลงทุนในหุ้นที่เป็นองค์ประกอบตามสัดส่วนในการคำนวณของดัชนีก็ได้เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของตลาดหุ้นรวม ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่เราเรียกว่ากลยุทธ์เชิงรับ (Passive Strategy)
เนื่องจากมีข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งที่ผมพบ คือ ข้อมูลผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทตราสารทุนที่ถูกนำเสนอเป็นตัวเลขอ้างอิง ส่วนใหญ่เป็นข้อมูลผลตอบแทนของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ไม่ใช่ผลตอบแทนของหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง ดังนั้นการใช้กลยุทธ์การลงทุนเชิงรับที่กระจายการลงทุนในหุ้นที่เป็นองค์ประกอบในการคำนวณดัชนีตลาดหลักทรัพย์ จึงเหมาะสมและช่วยให้เราสามารถคาดหวังกับผลตอบแทนใกล้เคียงกับข้อมูลที่เราใช้อ้างอิง การที่เราใช้กลยุทธ์เชิงรุก (Active Strategy) ด้วยการพยายามคัดเลือกหุ้นเป็นรายตัว การลงทุนหุ้นกระจุกอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเพียงไม่กี่ประเภท ในขณะที่เราไม่มีความเชี่ยวชาญมากพอ โดยคาดหวังว่าน่าจะทำให้ได้ผลตอบแทนสูง หรือได้ผลตอบแทนที่มากขึ้นกว่าตลาดหุ้นโดยรวม ผลตอบแทนที่ได้รับจริงก็ไม่ได้การันตีว่าจะออกมาดีกว่าตลาดหุ้นโดยรวมเสมอไป
สินทรัพย์ที่เลือกลงทุน
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสศึกษาและลงทุนจริงในสินทรัพย์ประเภทกองทุนอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund : PF) ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trust: REITs) และกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund : IF) ซึ่งเป็นสินทรัพย์ประเภทที่นำเงินไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์หรือสิทธิต่าง ๆ ในการดำเนินกิจการ โดยรับผลตอบแทนเป็นกระแสเงินสดที่เกิดจากค่าเช่าสินทรัพย์หรือรายได้จากกิจการที่ไปลงทุน พบว่าถึงแม้สินทรัพย์ประเภทนี้มีระดับความเสี่ยงที่สูงกว่าตราสารหนี้ แต่ผลตอบแทนที่ได้รับจัดอยู่ในระดับที่น่าพอใจอย่างมาก หากเราสามารถเลือกกองที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่ดี ได้กระแสเงินสดที่ค่อนข้างคงที่มั่นคง
จากความน่าสนใจของสินทรัพย์ประเภทกองทุนอสังหาริมทรัพย์หรือ REITs ที่บอกไว้ข้างต้น ผมจึงได้การปรับพอร์ตการลงทุนโดยลดสัดส่วนของการลงทุนในตราสารหนี้ลง และทดแทนด้วยการลงทุนสินทรัพย์ประเภทกองทุนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้ได้รับผลตอบผลตอบแทนรวมของพอร์ตเพิ่มมากขึ้น (เป็นที่มาของคำว่า Plus) ส่งผลให้สัดส่วนการลงทุนของแผน Long Term Defensive Plus ลงทุนในตราสารทุน 50% ตราสารหนี้ 20% และกองทุนอสังหาริมทรัพย์หรือ REITs อีก 30%
การลงทุนในตราสารหนี้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นอาจเป็นจังหวะที่ไม่ค่อยดีนักเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่องและค่อนข้างยาวนาน แต่อย่างไรก็ตามผมคิดว่าเราก็ความมีตราสารหนี้ติดพอร์ตไว้ เนื่องจากในระยะยาวนั้นตราสารหนี้ก็ถือเป็นสินทรัพย์ประเภทหนึ่งที่ให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ และเมื่อเสริมด้วยการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างมั่นคงควบคู่กันไปด้วย จึงทำให้ผลตอบแทนตามแผนการลงทุน Long Term Defensive Plus ออกมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจ และยังทำให้มูลค่าพอร์ตการลงทุนของเรามีความผันผวนลดลงกว่าการลงทุนในหุ้นเพียงอย่างเดียวอีกด้วย
เกณฑ์ในการคัดเลือกกองทุน
เกณฑ์ในการคัดเลือกกองทุนสำหรับตราสารทุนจะเลือกกองทุนที่เน้นการลงทุนในหุ้นใหญ่ที่เป็นตัวแทนของเศรษฐกิจของประเทศไทย ซึ่งจะให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับผลตอบแทนของตลาดหุ้น โดยที่มีค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนที่ไม่สูงนัก
ส่วนเกณฑ์ในการคัดเลือกกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลาง ต้องลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดี มีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาต่ำ มีอายุเฉลี่ยของทรัพย์สินที่ลงทุนประมาณ 3 ปี เพื่อให้ไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยมากนัก
สำหรับตัวแทนของกองทุนที่ลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์/REITsเลือกจากกองทุนที่มีการกระจายการลงทุนไปยังกองทุนอสังหาริมทรัพย์/REITs ที่ให้ผลตอบแทนมั่นคงในระยะยาว
การทดสอบผลตอบแทนย้อนหลัง (Backtesting)
จากแนวความคิดในการจัดพอร์ตของแผนการลงทุน Defensive Plus ที่ลงทุนในตราสารทุน 50% ตราสารหนี้ระยะกลาง 20% และ กองทุนอสังหาริมทรัพย์/REITs 30%
รูปที่ 1 แสดงสัดส่วนการลงทุนของแผน Long Term Defensive Plus
หลังจากนั้นทดลองวาดกราฟผลตอบแทน และคำนวณผลตอบแทนเฉลี่ย ความผันผวน Sharpe Ratio และ Maximum Drawdown ย้อนหลังตามช่วงเวลาที่แตกต่างกัน เปรียบเทียบระหว่างแผน Long Term Defensive Plus เทียบกับดัชนี SET Total Return ได้ผลตามรูปและตารางที่แสดงไว้ด้านล่าง
รูปที่ 2 ผลตอบแทนของพอร์ต Long Term Defensive Plus เทียบกับ SET Index Total Return (ม.ค. 2014 – พ.ค. 2019)
ตารางที่ 1 แสดงข้อมูลผลการดำเนินการย้อนหลัง 5 ปี ตั้งแต่วันที่ 10/05/2014 – 9/05/2019
ตารางที่ 2 แสดงข้อมูลผลการดำเนินการย้อนหลัง 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 10/05/2016 – 9/05/2019
ตารางที่ 3 แสดงข้อมูลผลการดำเนินการย้อนหลัง 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 10/05/2018 – 9/05/2019
ตารางที่ 4 แสดงข้อมูลผลการดำเนินการย้อนหลัง 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 10/11/2018 – 9/05/2019
ตารางที่ 5 แสดงข้อมูลผลการดำเนินการย้อนหลัง 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 10/02/2019 – 9/05/2019
ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
จากข้อมูลผลการดำเนินการย้อนหลังที่แสดงให้เห็นข้างต้น ประเด็นสำคัญที่ทำให้ผมชอบพอร์ตการลงทุนของแผน Long Term Defensive Plus คือ การที่ได้ผลตอบแทนที่ดีพอสมควร (ย้อนหลัง 5 ปี เฉลี่ย 8.29% ต่อปี คำนวณ ณ วันที่ 9 พ.ค. 2019) ความผันผวนของมูลค่าพอร์ต (ดูจากค่า Standard Deviation) และ Maximum Drawdown ที่ต่ำกว่าการถือตราสารทุนเพียงอย่างเดียว ซึ่งความผันผวนและ Maximum Drawdown ที่น้อยลงส่งผลดีด้านผลจิตวิทยาเป็นอย่างมากเวลาที่ต้องถือครองพอร์ตนี้เป็นเวลานาน
ปรับพอร์ตอย่างไร
มีการปรับพอร์ต (Rebalance) ทุก ๆ 6 เดือน หรือ 1 ปี เพื่อให้สัดส่วนการลงทุนในทรัพย์สินประเภทต่าง ๆ ของพอร์ตยังเป็นไปตามที่วางแผนไว้ อย่างไรก็ตามหากมีเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลกระทบต่อราคาของกองทุนที่เข้าไปลงทุนมีความผันผวนสูง อาจพิจารณาในการปรับพอร์ตให้เหมาะสมนอกเหนือจากที่กำหนดไว้เป็นรายกรณี
แผนการลงทุน Long Term Defensive Plus เหมาะกับใคร
แผนการลงทุน Long Term Defensive Plus เป็นแผนการลงทุนพื้นฐานที่เหมาะกับผู้ที่ต้องการลงทุนทั่วไปแทบทุกคน เนื่องจากเป็นแผนการลงทุนแบบอนุรักษ์นิยม มีการกระจายการลงทุนในตราสารหลายประเภท ผู้ที่สนใจลงทุนตามแผนนี้สามารถลงทุนได้ทั้งแบบซื้อทีเดียวด้วยเงินก้อนใหญ่ หรือทยอยลงทุนด้วยเงินเท่า ๆ กันแบบต่อเนื่องระยะยาว (DCA : Dollar Cost Average) โดยผลตอบแทนที่คาดหวังในระยะยาวอยู่ที่ประมาณ 7-8% ต่อปี มีเงินลงทุนครั้งแรก 500,000 บาท (ขั้นต่ำการลงทุนครั้งแรก ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2021 เป็นต้นไป)
** หากสนใจลงทุนใน Long Term Defensive Plus สามารถคลิกที่ https://www.finnomena.com/port/daddytrader/ หรือแบนเนอร์ข้างล่างครับ
หากสนใจในพอร์ตนี้ ขั้นตอนการลงทุนเป็นอย่างไร?
คุณสามารถลงทุนในพอร์ต Long Term Defensive Plus โดยผ่าน 3 ขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้ครับ
1. เลือกแผนการลงทุน
ศึกษาข้อมูลของแผนการลงทุน ตรวจสอบว่าเหมาะสมกับเป้าหมายการลงทุนของคุณหรือไม่
2. เปิดบัญชีลงทุน
สามารถเปิดบัญชีได้ทั้งในเว็บไซต์และแอปพลิเคชันของ FINNOMENA เอง โดยบัญชีนี้สามารถลงทุนได้กว่า 600 กองทุนจาก 14 บลจ.
3. ลงทุนตามคำแนะนำ
รอรับคำแนะนำจากทางระบบทั้งผ่าน Notification และอีเมล และเริ่มลงทุนตามแผนที่วางไว้ได้ทันทีครับ
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”