รับชมบน YouTube: https://youtu.be/CttbbIRT0GY
เคยสงสัยไหมว่าทำไมเวลาเราเข้าเว็บไซต์ต่าง ๆ ถึงจะต้องมีป๊อบอัปขอจัดเก็บ Cookies หรือข้อมูลส่วนบุคคลของเรา ถ้าเราไม่อนุญาตก็อาจเข้าเว็บไซต์นั้นไม่ได้ หรืออาจใช้งานเว็บไซต์ได้ไม่สะดวกเท่าที่ควร นี่เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาในโลกอินเทอร์เน็ตยุคปัจจุบันที่ยิ่งกระตุ้นให้ผู้คนหันมาสนใจอินเทอร์เน็ตแห่งโลกอนาคตอย่าง Web 3.0 กันมากขึ้น ในคลิปนี้จะชวนมาทำความรู้จัก Web 3.0 กัน
Web 3.0 คืออะไร
- Web 3.0 หรือที่ถูกขนานนามกันว่าเป็น “The Future of the Internet” เป็นแนวคิดเกี่ยวกับโลกอินเทอร์เน็ตแห่งอนาคตที่ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของเจ้าของข้อมูล การประมวลผลและคัดกรองเนื้อหาให้ตรงใจผู้ใช้งาน
- ไม่ยึดติดรูปแบบว่าจะต้องใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนเท่านั้น
ยุคสมัยของอินเทอร์เน็ต 3 ยุค
- เพื่อให้เห็นภาพว่า Web 3.0 ต่างจากอินเทอร์เน็ตที่เราใช้งานกันอยู่อย่างไร ก็อาจจะต้องขยายความไปถึงยุคสมัยของอินเทอร์เน็ตในช่วงที่ผ่านมา
- เราอาจแบ่งยุคสมัยของอินเทอร์เน็ตได้เป็น 3 ยุค ไล่มาจาก Web 1.0, 2.0 และ 3.0
- ยุค Web 1.0 จะเป็นยุคเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ต เรียกว่าเป็น Static Web นั่นคือรองรับการสื่อสารแบบ One-way จากผู้ผลิตคอนเทนต์สู่ผู้บริโภคเท่านั้น ไม่เน้นการโต้ตอบซึ่งกันและกัน
- ยุค Web 2.0 คืออินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน เรียกว่าเป็น Dynamic Web เกิด Two-way communication ระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภคคอนเทนต์ หรือเรียกได้ว่าเป็นยุคเฟื่องฟูของ social media อย่าง Facebook นั่นเอง
- อย่างไรก็ตามเห็นได้ว่าในการใช้งานเว็บไซต์ จะมีผู้ที่ทำหน้าที่จัดเก็บและใช้งานข้อมูลที่แลกเปลี่ยนกันอยู่บนโลกอินเทอร์เน็ต อย่างที่เราจะเห็นได้ว่าเมื่อจะเข้าใช้งานเว็บไซต์ก็จะมีการขอความยินยอมจัดเก็บข้อมูลของเรา ซึ่งเป็นการขอความยินยอมที่ผูกขาดนิด ๆ คือถ้าไม่ให้ความยินยอมเราก็อาจจะใช้งานเว็บไซต์ไม่ได้ ทั้งที่ในหลายครั้งเราก็ได้ยินข่าวข้อมูลส่วนบุคคลของพวกเรารั่วไหล ถูกนำไปขายต่อ หรือนำไปใช้งานในทางที่ผิด
- Web 3.0 จึงเป็นคอนเซ็ปต์ของอินเทอร์เน็ตที่เราไม่ต้องพึ่งพาตัวกลางในการจัดเก็บข้อมูลของเราอีกต่อไป แต่ใช้วิธีกระจายศูนย์
- Blockchain ก็เป็นหนึ่งใน Infrastructure ของ Web 3.0 ที่ทำให้การใช้บริการอินเทอร์เน็ตโดยไม่พึ่งพาตัวกลางเป็นสิ่งที่เป็นไปได้นั่นเอง
เทคโนโลยีอื่น ๆ ที่อยู่เบื้องหลัง Web 3.0
- ยังมีอีกหลายเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลัง Web 3.0 เช่น Semantic Web, Machine Learning และ AI
- Web 3.0 จะเป็นประสบการณ์บนโลกอินเทอร์เน็ตที่เราไม่เคยสัมผัสมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการแสดงข้อมูลที่ถูก Personalized ให้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้งานแต่ละคน การที่เราสามารถใช้อัตลักษณ์เดียวกับทุกแพลตฟอร์มได้ ไม่ต้องคอยอัปรูปโปรไฟล์ใหม่เองทีละเว็บไซต์เหมือนอย่างที่ทำอยู่ในปัจจุบัน การท่องโลกอินเทอร์เน็ตจะรวดเร็วยิ่งขึ้น
- และที่เป็นจุดแข็งของ Web 3.0 ก็คือความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวของเรา จากนี้ก็ไม่ต้องกังวลว่าข้อมูลเราจะถูกใครเอาไปขาย กลับกันถ้าใครอยากได้ข้อมูลของเรา เขาก็อาจจะต้องจ่ายเงินให้เราก่อน
- นอกจากนี้การใช้งานอินเทอร์เน็ตก็จะไม่ถูกจำกัดเฉพาะบนคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟนเท่านั้น แต่อาจอยู่ในตู้เย็นที่บ้าน เครื่องซักผ้า หรือกระจกโต๊ะเครื่องแป้งก็ได้
ตัวอย่างของ Web 3.0 ที่เป็นที่รู้จักกว้างขวางในปัจจุบัน
- เช่น Siri ที่ถูกเปิดตัวครั้งแรกผ่าน iPhone 4s
- จะเห็นได้ว่า Siri เป็นอีกรูปแบบการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่มีความเจาะจงเฉพาะผู้ใช้งาน เมื่อเราพูดกับ Siri ว่าเย็นนี้ทานอาหารที่ไหนดี ก็จะได้คำตอบที่ไม่ใช่แค่ร้าน
ที่ได้คะแนนรีวิวสูงสุด แต่อาจเป็นร้านที่ใกล้โลเคชั่นของเรามากที่สุดหรือเป็นร้านที่เราไปกินบ่อยที่สุดด้วย ซึ่งนี่เป็นความสามารถหนึ่งที่ Web 3.0 ให้กับเราได้
ข้อจำกัดของ Web 3.0
- อย่างแรกที่เป็นปัญหาใหญ่แน่นอนคือการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ Web 3.0 บนโลกที่ไม่มีพรมแดนอีกต่อไป
- เช่น หากเกิดอาชญากรรมบนโลกอินเทอร์เน็ต ก็อาจจะมีประเด็นว่าเราควรจะบังคับใช้กฎหมายของประเทศไหน เป็นต้น
- หรือบางเนื้อหาบนโลกออนไลน์ที่ควรถูก Censor เช่น คอนเทนต์ที่มีเนื้อหาลามกอนาจาร หรือ Cyberbullying ที่แต่เดิมก็เป็นเรื่องยากที่จะควบคุมบนโลกอินเทอร์เน็ตยุคปัจจุบัน ก็อาจยิ่งทำได้ยากขึ้นในอินเทอร์เน็ตที่อาศัยระบบกระจายศูนย์กลางเช่นนี้
- คงต้องติดตามกันต่อไปว่า สุดท้ายแล้วการใช้งาน Web 3.0 ในโลกความเป็นจริงจะออกมาในรูปแบบไหน และจะมอบประสบการณ์ใหม่ให้กับเราได้อย่างไร
บ้าง
พบความสุดพิเศษสำหรับคุณได้ในทุกวัน ทั้งบทความให้ความรู้เกี่ยวกับกองทุนรวม หุ้น คริปโตฯ และการบริการ โปรโมชั่น ของรางวัลต่างๆ ที่คัดสรรมาเพื่อมอบให้กับสมาชิก FINNOMENA เท่านั้น
👉 สมัครสมาชิกเว็บไซต์ FINNOMENA https://finno.me/register-website