เมื่อพูดถึงเรื่องการลงทุนหลายๆ คนมักจะคิดถึงหุ้น, กองทุน, อสังหาริมทรัพย์ หรือการเข้าร่วมทุนสร้างกิจการต่างๆ โดยสิ่งที่คาดหวังเป็นหลักจากการลงทุนก็คือผลตอบแทนนั่นเอง ส่วนใหญ่แล้วผลตอบแทนจะอยู่ในรูปแบบของเงินที่จะได้รับในอนาคต ซึ่งผลตอบแทนในอนาคตที่คาดหวังนั้น “ยิ่งมาเร็วยิ่งดี” เพราะเวลาที่เราต้องเสียไปกับการรอนั้นมีมูลค่า ทั่วๆไปเรียกกันว่า “ค่าเสียโอกาส” จึงทำให้การได้ผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างรวดเร็วนั้นมักจะเป็นความปรารถนาสูงสุดของหลายๆคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และส่งผลให้การวัดผลสำเร็จหลายๆครั้งนั้นก็มักจะให้น้ำหนักกับความสำเร็จระยะสั้นมากกว่าความสำเร็จระยะยาวที่ต้องใช้เวลาห้าปีสิบปี
แต่ในความเป็นจริงแล้วการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีนั้นมักจะต้องใช้เวลาจึงทำให้ไม่สามารถวัดผลได้ในระยะเวลาอันสั้น ลักษณะคล้ายๆ กับการปลูกต้นไม้คือ ใส่ปุ๋ยพรวนดินดูแลไปจนเติบใหญ่วัดผลได้จากการเติบโตเป็นเดือนหรือปีและคงไม่มีใครไปคอยวัดความสูงของต้นไม้ทุกวันจริงมั้ยครับ? แนวคิดนี้เป็นแนวคิดแบบเดียวที่ใช้ได้ดีกับการลงทุนไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในสินทรัพย์อะไรก็ตาม ซึ่งนอกจากการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆเพื่อให้ได้ผลตอบแทนตามที่เราคาดหวังแล้ว ในมุมมองของผมเองนั้นผมคิดว่าก่อนที่เราจะลงทุนในอะไรก็ตามเราจะต้องมีการศึกษาหาความรู้ก่อนหรือจะบอกว่าเป็นการ “ลงทุนในตัวเอง” ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าการเลือกลงทุนในสินทรัพย์เลยครับ
การลงทุนในตัวเอง
การลงทุนในตัวเองในมุมมองของผมเป็นการลงทุนที่มี “เวลา” เป็นส่วนประกอบสำคัญหลายๆ ครั้งมีค่ามากยิ่งกว่าเงินด้วยซั้าไป วอร์เรน บัฟเฟตต์เองก็เคยกล่าวไว้ว่า “สิ่งสำคัญที่สุดในการทำเงินคือเวลา” การลงทุนในตัวเองส่วนใหญ่แล้วคือการลงทุนเวลาเพื่อเรียนรู้พัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องในทุกๆมิติทั้งเรื่องการทำงานและเรื่องการใช้ชีวิตอย่างสมดุล ครั้งหนึ่งวอร์เรน บัฟเฟตต์และชาร์ลี มังเกอร์หุ้นส่วนของเขาหลีกเลี่ยงการลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี แต่เมื่อไม่นานมานี้พวกเขากลับเข้าลงทุนใน Apple จากสถานะอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนไป มังเกอร์ได้เคยกล่าวไว้ว่า “วอร์เรนเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ผมเองก็เรียนรู้เช่นกัน สิ่งดีๆเกี่ยวกับการลงทุนคือมีเรื่องให้เรียนรู้ไม่จบสิ้น และเราก็ยังเรียนรู้อยู่”
แม้มังเกอร์จะอายุ 93 ปี แล้วแต่เขาก็ยังคงเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ตัวเองพร้อมสำหรับโอกาสใหม่ๆซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา “โลกนั้นหมุนอยู่เสมอ” การเรียนรู้และพัฒนาตัวเองคือสิ่งที่จำเป็นต่อความสำเร็จอย่างปฏิเสธไม่ได้ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่หรือมีประสบการณ์กี่ปีในสิ่งที่คุณทำอยู่ก็ตาม แต่อย่างที่ผมกล่าวไปแล้วในช่วงต้นผลตอบแทนจากการลงทุนในตัวเองนั้นมักจะจับต้องได้ยาก และวัดผลเป็นรูปธรรมในระยะสั้นไม่ค่อยได้จึงทำให้ไม่ค่อยมีใครให้ความสำคัญแต่มันมักจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยยะมากๆ ในระยะยาวสิบปียี่สิบปีหรือสามสิบปีอย่างที่มันส่งผลให้บัฟเฟตต์และมังเกอร์ประสบความสำเร็จอย่างสูง
จากประสบการณ์ในการลงทุนของตัวผมเองหลายๆ ครั้งที่ผมประสบความสำเร็จจากการลงทุนในหุ้นไม่ใช่เพราะว่าผมเพิ่งมาเริ่มศึกษาเอาตอนที่กำลังจะซื้อแต่เป็นเพราะความรู้สะสมที่ผมศึกษามาก่อนหน้าอย่างยาวนานทำให้สามารถที่จะมองเห็นถึงโอกาสที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าและไขว่คว้ามันเอาไว้ได้ ถ้าผมไม่เคยศึกษามาก่อนก็คงจะมองผ่านมันไปเหมือนลมที่พัดมาแล้วก็พัดไป สิ่งนี้ทำให้ผมเรียนรู้ว่ายิ่งเราศึกษามากเท่าไหร่แม้วันนี้จะยังไม่มีโอกาสให้ลงทุนและไม่ได้ให้ผลตอบแทนอะไรในทันทีแต่มันมักจะทำให้เราไม่พลาดโอกาสที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เหมือนกับการฝึกทำอะไรใหม่ๆคงไม่มีใครทำเป็นได้ในทันทีแต่ทุกๆอย่างเกิดจากการลองผิดลองถูกตกผลึกความคิดมาก่อนทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ อย่างการหัดฝึกขี่จักรยานไปจนถึงเรื่องใหญ่ๆ เช่น การตัดสินใจซื้อขายกิจการ
คนที่ทำสิ่งเหล่านี้ได้ดี และมีโอกาสประสบความสำเร็จสูงหัวใจสำคัญมักจะมาจากความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมมาก่อนหน้าทั้งสิ้น ผมชอบยกตัวอย่างเรื่องการเป็นทนายความ คงไม่มีใครตื่นเช้ามาวันหนึ่งบอกวันนี้ฉันรู้สึกอยากเป็นทนายงั้นออกไปว่าความเลยดีกว่า? มันคงไม่สำเร็จแน่ๆจริงมั้ยครับ? ต่อให้หาข้อมูลจากกูเกิลหรือหนังสือกฏหมายได้แต่ก็คงไม่มากพอและถึงมากพอคุณก็ไม่มีประสบการณ์จะประสบความสำเร็จได้อย่างไร? กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียวฉันใด ความสำเร็จก็ไม่ได้มาจากความพยายามแค่วันเดียวเดือนเดียวหรือปีเดียวฉันนั้น ที่สำคัญกว่าการมองเห็นโอกาสคือการเข้าใจความเสี่ยงที่มาพร้อมกับโอกาสนั้นๆ เพราะเมื่อใดที่เราลงทุนโดยความคิดที่เห็นว่าเป็น “โอกาสที่ยิ่งใหญ่” บางครั้งถ้าเราไม่เข้าใจมันดีพอจริงๆแล้วโอกาสนั้นอาจจะเป็น “ความเสี่ยง” ระดับหายนะเลยก็เป็นได้ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยกล่าวเอาไว้ว่า “ความเสี่ยงมาจากการที่คุณไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่” การที่เราจะรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่นั้นมีอยู่ทางเดียวคือการศึกษาหาความรู้อย่างต่อเนื่องเพื่อเข้าใจการลงทุนของเราอย่างถ่องแท้จริงๆ เท่านั้น
หลายๆ ครั้งที่มีคนมาถามผมว่าอยากเริ่มลงทุนในหุ้นต้องทำอย่างไร?
ผมคงมีคำแนะนำเพียงอย่างเดียวคือให้ “ลงทุนในตัวเอง” ซึ่งก็สามารถทำได้หลายวิธีด้วยกัน คุณอาจจะเริ่มต้นด้วยการอ่านหนังสือ, หาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต หรือการลงเรียนในคอร์สสอนการลงทุนต่างๆ ที่มีอยู่อย่างมากมาย, ฟังรายการทางวิทยุ หรือที่ล่าสุดก็คือดู Facebook Live สิ่งที่ผมอยากบอกจากประสบการณ์โดยตรงคือ “ของดีไม่จำเป็นต้องแพงเสมอไป” มีหลายครั้งมากๆที่ผมไปฟังสัมมนาฟรีอย่างสัมมนาของ รายการ Money Talk แล้วก็ได้อะไรติดตัวกลับมาเยอะมาก (ความรู้นะครับไม่ใช่ของแจก) หลายๆ ครั้งการอ่านหนึ่งบทความในอินเตอร์เน็ตจากตัวจริงอย่างท่านอาจารย์ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร กลับทำให้ผมเข้าใจเรื่องการลงทุนและตกผลึกได้ มากกว่าการเป็นจ่ายเงินเพื่อเข้าคอร์สเรียนเป็นวันๆ ด้วยซํ้าไป หรือบางครั้งการสมัครสมาชิกและไปสัมมนาของสมาคม Thaivi พูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกับเพื่อนๆ นักลงทุนก็ทำให้ผมได้ข้อมูลมาใช้กับการลงทุนมากเหมือนกัน
ดังนั้นในความคิดของผมการเริ่มต้นเรียนรู้การลงทุนนั้นปัจจัยเรื่องเงินมีความสำคัญน้อยกว่าเวลา,ความพยายามที่ใส่เข้าไป และความรู้สึกที่จะตระหนักว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญในชีวิตมากครับ ดังนั้นความคิดที่ว่าเสียดายเงินหรือไม่มีเวลานั้นไม่ควรเกิดขึ้นถ้าเราตระหนักถึงความสำคัญ และเชื่อว่าคนที่จะเปลี่ยนชีวิตของตัวเราเองได้ก็มีแต่ตัวเราเองเท่านั้นแหละ ถ้าตัวเราพร้อมใจเราพร้อมแล้วเรื่องอื่นๆ นั้นถือเป็นปัจจัยปลีกย่อยที่ไม่ได้มีนัยยะซักเท่าไหร่นักครับ ก่อนที่จะเริ่มคิดเรื่องลงทุนจงจำไว้เสมอว่า “ผู้ชนะไม่ได้เกิดจากวันที่โชคดีเพียง 1 วันใน 1 ปี แต่เกิดจากการพยายามในวันที่เหลือทั้ง 364 วันต่อเนื่องติดต่อกันยาวนานในทุกๆปี” เมื่อคุณมาอ่านบทความนี้ก็ถือเป็นการเริ่มต้นลงทุนในตัวเองขั้นแรกแล้ว ผมขอแสดงความยินดีกับ “ความสำเร็จ” ของคุณล่วงหน้าเลยแล้วกันครับ