สรุป LIVE ประจำวันกลับมาแล้ว! วันนี้ได้คุณ มาร์ช (ฺBuffettcode) และ คุณเพชร รตะ มาให้ข้อมูลแบบวิเคราะห์เจาะลึกในมุมมองการลงทุนเชิงพื้นฐาน ถึง sector ที่น่าลงทุนในช่วงวิกฤติ รวมถึงสถานการณ์หุ้น ณ ปัจจุบัน ที่เรียกได้ว่า “สายพื้นฐาน” พลาดไม่ได้เลยทีเดียว จะเป็นอย่างไรนั้นคลิกเข้าไปอ่านพร้อมๆกันได้เลยครับ!
สรุปมุมมองนักวิเคราะห์ต่อตลาดหุ้นในตอนนี้
ผมไป LIVE ที่ Finnomena เมื่อวันพุธที่ 25 ที่ผ่านมา เนื่องจากเวลาค่อนข้างจำกัดทำให้ผมอาจจะตกหล่นรายละเอียดไป อยากสรุปข้อมูลที่รวบรวมมา ภาพรวมและมุมมอง รวมไปถึงจุดที่ผมคาดว่าน่าจะเป็นจุดที่เหมาะกับการเข้าซื้อหุ้นลงทุนได้ไว้ตรงนี้ครับ
มุมมองอาจะเปลี่ยนแปลงได้หากสถานการณ์มากการเปลี่ยนแปลงนะครับ
1.วิกฤตครั้งนี้หนักแค่ไหน?
วิกฤตครั้งนี้หนักเท่ากับ Subprime + 9/11 รวมกัน (ขอยืมไอเดีย CEO Marriott หน่อยนะครับ ผมเขียนสรุปสัทภาษณ์ไว้ใน COVID-19 ทำ Marriott รายได้หาย 90% หุ้นตก 55% ลดเงินเดือนผู้บริหาร 50%) ผมว่าเขาก็ไม่ได้พูดหนักเกินไป เพราะรอบนี้วิกฤตกระทบทุก Sector และกระทบตัวเศรษฐกิจจริงๆด้วยไม่ใช่แค่ส่วนของธนาคารและอสังหาแบบในปี 2008
ตอนนี้ธุรกิจเล็กๆในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นแหล่งจ้างงานกว่า 80% ของประเทศรับผลกระทบไปเต็มๆ ซึ่งนักวิเคราะห์ต่างๆก็ได้สรุปตัวเลข Initial Jobless Claim หรือพูดง่ายๆคือจำนวนคนตกงานนั่นแหละ ในอาทิตย์นี้ตัวเลขจะออกมา 1-2 ล้านคน เป็นตัวเลขสูงสุดตั้งแต่ปี 1982
Goldman Sachs คาดคนจะตกงานกว่า 2 ล้านคน ทะลุกราฟและจุดสูงสุดที่เคยทำไว้แถว 650,000
2.หุ้นตอนนี้ถูกหรือยัง?
หุ้นตอนนี้ “ถูกกว่า” หลายๆปีที่ผ่านมา ต่างชาติเองก็ขายมาเยอะมาแล้ว ถ้านับวอลุ่มการขาย 3 ปี คือขายไปแล้วประมาณ 460,000 ลบ. ถ้าคนยังไม่มีเงินลงทุนในหุ้น หรือกองทุนเลย เริ่มทยอยลงทุนได้ครับ แต่ถ้าถามว่าตรงนี้ถูกที่สุดหรือยัง? คิดว่า 60-70% น่าจะยัง เพราะ Impact ทางเศรษฐกิจรอบนี้หนักมาก มีข้อดีนิดหน่อยคือ FED ตอบรับเร็วและแรง ทำให้ดูเหมือนยังเอาอยู่ อย่างไรก็ตามกำไรของหุ้นไทยในไตรมาสา 1 และ 2 ของปีนี้ น่าจะออกมาย่ำแย่มาก ทำให้ SET อาจจะยังปรับตัวลดลงไปได้ถึง 600-700 จุดนะครับ อันนี้น่าจะมีโอกาสประมาณ 20-30%
Volume การซื้อขายย้อนหลัง 3 ปี
หุ้นตอนนี้จะดูแค่ P/E ต่ำ, P/BV ต่ำ, ปันผลสูงไม่ได้ ตามเหตุผลที่บอกไปแล้วคือถ้าถ้ามันกระทบผลกำไรของหุ้นจริง และถ้าขาดทุนจะส่งผลกระทบไปถึงส่วนทุนติดลบ
P/E ต่ำในตอนนี้อาจจะสูงขึ้นเมื่อผลกำไรแย่ๆออกมา
P/BV ที่ต่ำก็จะสูงเมื่อบริษัทต้องเผชิญภาวะขาดทุน และแน่นอนกำไรน้อยลง ปันผลก็น้อยลง
Dividend Yield ที่สูง (จากผลประกอบการในปี 2019) มาปีนี้จะต่ำลงแน่นอน ถ้าข่าวร้ายยังมาไม่หมด คงคาดว่าตลาดถึงจุดต่ำสุดแล้วไม่ได้ครับ
แม้แต่ Sector ที่เคยปลอดภัยสุดอย่างโรงไฟฟ้ายังได้รับผลกระทบ (เพราะโรงงานปิดไม่ใช้ไฟ รฟฟ.ที่ขายไปให้รง.อุตสาหกรรมก็โดนไปด้วย)
ประมาณการผลกระทบกับกำไรของโรงไฟฟ้า
3.หุ้นไทยกับหุ้นต่างประเทศอันไหนน่าสนใจกว่ากัน
หุ้นต่างประเทศน่าสนใจกว่าในระยะยาว เพราะมีบริษัทดีๆ อย่างเทคโนโลยี บริษัทยักษ์ใหญ่ที่แข็งแกร่ง สถานะทางการเงินเข้มแข็ง รัฐบาลมืออาชีพที่รู้งานช่วยเหลืออย่างเต็มที่ (ถ้าอ่านข้อ 1. จะรู้ว่าวิกฤตครั้งนี้ทำให้ธุรกิจเล็ก-กลางเจ็บหนัก อาจจะมีหลายบริษัทไม่ฟื้นกลับมา บริษัทใหญ่ได้เปรียบมากๆ)
หุ้นไทย เรามีท่องเที่ยวเป็นสัดส่วน 15-20% ของ GDP ไหนจะโดนเรื่องสงครามน้ำมันของซาอุ ในระยะสั้นลงหนัก หลังจบปัญหา COVID-19 น่าจะมีการดีดตัวแรงในระยะสั้น แต่ระยะยาวถ้าประเทศไทยยังไม่ปรับตัว ยังไม่มีอุตสาหกรรมใหม่ๆมารองรับ ไหนจะกำลังเข้าสังคมผู้สูงอายุด้วย การจะลงทุนระยะยาวในประเทศดูเสี่ยง กว่าต่างประเทศ การจะฟื้นตัวไปถึง 1800 จุดนั้นท้าทายพอสมควรเลยครับ
คหสต. จากข้อมูลที่อ่านๆมา ผมคิดว่า Timing ในการซื้อหุ้นไทยน่าจะอยู่ในช่วงเดือนพค.+- 1-2 เดือน เพราะ COVID-19 น่าจะระบาดถึงจุดพีคในเดือนเมย-พค. นอกจากนั้นในช่วงเดือนพค. เราจะเริ่มเห็นผลกระทบของ COVID-19 ในงบการเงินไตรมาส 1 ของบริษัทต่างๆ นักวิเคราะห์จะเริ่มประเมินได้แม่นยำขึ้นว่ากระทบมากน้อยแค่ไหน ถ้ากระทบมากกว่าที่คิดหุ้นอาจจะลงต่ออีกรอบ
แต่ถ้ากระทบน้อยกว่าที่คิดหุ้นอาจจะ Sideway ซักระยะ และเข้าสู่ขาขึ้นเต็มตัวหลังประกาศงบไตรมาส 2 ในช่วงเดือนสค.ก็เป็นไปได้ งบไตรมาส 2 น่าจะเป็นงบช่วงปีที่เลวร้ายที่สุดแล้ว ในกรณีที่ไม่มีเหตุการณ์ใหม่ๆเข้ามากระทบเพิ่มเช่น ปัญหาในตลาดตราสารหนี้ หรือเกิดการระบาดของ COVID-19 ซ้ำสองในบางประเทศ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมินว่าช่วงครึ่งหลังของปีน่าจะดีครับ
4.หุ้นกลุ่มไหนน่าสนใจ?
ตอนนี้หุ้นแทบทุกกลุ่มโดนปรับประมาณการลดลงหมด นักวิเคราะห์หลายท่านสนใจหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลที่มีรายได้จากต่างชาติน้อยๆและมีรายได้ประกันสังคม เช่น CHG หุ้นสื่อสารที่น่าจะกระทบน้อยที่สุดช่วงนี้คือ ADVANC หุ้นกลุ่มค้าปลีกสินค้าจำเป็นเช่น BJC ก็ยังเอาตัวรอดได้ดีกว่าหุ้นอื่นๆ หรือกองทุนอสังหาฯ ที่น่าจะถูกกระทบหนักไม่นาน 1-2 ปีข้างน่าจะกลับมาจ่ายปันผลในระดับใกล้เคียงของเดิมได้ (อาจจะไม่เท่าเดิม เพราะผมคิดว่าเศรษฐกิจไทยจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ไว้มาเล่าให้ฟังเพิ่มเติมนะครับ … )
พยายามหลีกเลี่ยงหุ้นที่โดนผลกระทบโดยตรงจากการระบาดของ COVID-19 เช่น ธนาคาร, การท่องเที่ยว หรือบางกลุ่มที่มีปัญหาเฉพาะกลุ่มอยู่แล้วเช่น อสังหาหรือน้ำมัน
หุ้นที่ถูกผลกระทบโดนนักวิเคราะห์หั่นกำไรและราคาเป้าหมาย
อย่างไรก็ตามต้องระวังเพราะตอนนี้คือจุดที่ไม่มีใครรู้ว่าปัญหาส่งผลกระทบมากแค่ไหน ถ้าจะซื้อควรแบ่งสัดส่วนซื้อเป็นรอบๆ พยายามกระจายความเสี่ยง อย่าทุ่มสุดตัวเพราะถ้าปัญหาหนักกว่าที่เป็น อาจจะสูญเสียหนักได้ครับ อย่าลืมว่าสิ่งสำคัญที่ต้องทำในวิกฤตตลาดหุ้นคือต้อง “ไม่ตาย” ส่วนผลตอบแทนมันหาเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าเรามีหลักการลงทุนที่ดีพอ
5.สินทรัพย์ที่น่าสนใจ
ถ้าเอาความปลอดภัยเป็นที่ตั้ง กองทุนตลาดเงินที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลอย่าง TMBTM หรือ PHATRA MP
ส่วนคนที่อยากฉกฉวยโอกาสจากช่วงนี้เพื่อลงทุนระยะยาว 3-5 ปี สามารถทยอยซื้อกองทุนอสังหาฯ กองทุนหุ้นปันผลได้ เพราะปัญหารอบนี้คิดว่าไม่ส่งผลกระทบยาวนาน กระทบพื้นฐานการทำกำไรของหุ้นและกองทุนอสังหาในระยะสั้น หลังจากนี้ 1-2 ปี จะเป็นอีกเรื่องหนึ่งเลย เพราะเราไม่รู้ว่าตลาดจะตกลงไปมากน้อยแค่นั้น ดังนั้นจึงไม่แนะนำให้เอาเงินทั้งหมดมาลงทุนในครั้งเดียวครับ
สินทรัพย์เน้นความปลอดภัยเป็นที่ตั้ง ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล
สุดท้ายผมหวังว่าวิกฤต COVID-19 ครั้งนี้จะผ่านไปอย่างรวดเร็ว และขอให้ประเทศไทยกลับไปเติบโตแข็งแกร่งเช่นเดิม
COVID-19 กลัวอากาศร้อน ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นโอกาสสำหรับกลุ่มท่องเที่ยวในช่วงเศรษฐกิจหลัง COVID-19 ก็เป็นได้ครับ (คนเน้นเที่ยวประเทศร้อน ไม่เน้นประเทศอากาศหนาว)
ในวิกฤตมีโอกาส ทางสว่างมีอยู่เสมอถ้าเรามีความพยายามมากพอ ขอให้ทุกคนโชคดีครับ