ตลาดหุ้นจีนเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นที่มีโอกาสเติบโตสูงที่สุดตลาดหนึ่งในโลกเลยทีเดียว และเป็นตลาดหุ้นแรก ๆ ของโลกที่ฟื้นจากวิกฤต COVID-19
ตลาด Shanghai Composite Index (SHCOMP) วิ่งจากจุดต่ำสุดที่ 2,646 จุด ณ วันที่ 19 มีนาคม 2020 มาปิดที่ 3,229 จุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นับเป็นผลตอบแทน 22% ในระยะเวลา 7 เดือน
ส่วนตลาด Shenzhen Component (SZSE) วิ่งจากจุดต่ำสุดที่ 9,634 จุด ณ วันที่ 24 มีนาคม 2020 มาปิดที่ 13,537 จุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นับเป็นผลตอบแทน 28% ในระยะเวลา 7 เดือน
สาเหตุอะไรที่ทำให้ตลาดหุ้นจีนดีดกลับมาได้แรง และจะเป็นขาขึ้นครั้งใหม่? จะแรงแบบปี 2015 หรือไม่? เพื่อน ๆ ลองตัดสินใจจากข้อมูลที่ผมนำมาให้อ่านดูนะครับ
1. จีนเป็นประเทศแรกที่ได้รับผลกระทบหนักจาก COVID แต่ก็เป็นประเทศแรกที่ฟื้นจาก COVID เช่นกัน
ตัวเลขทางเศรษฐกิจหลายตัวแทบจะกลับไปอยู่ในระดับที่ปกติแล้ว เหมือน COVID ไม่เคยเกิดขึ้น
Industrial Product ดัชนีที่บ่งบอกถึงระดับการผลิตของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งตอนนี้กลับมาเติบโตที่ 5.6% ในเดือนสิงหาคม จากจุดต่ำสุดที่ลงไป -13.5% ในช่วงเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์
PMI (Purchasing Manufacturing Index) ดัชนีที่บ่งบอกถึง Sentiment มุมมองในอนาคต ของภาคการผลิตปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ระดับ 51.5 ในเดือนกันยายน จากจุดต่ำสุดที่ 35.7 ในเดือนกุมภาพันธ์
Electric Consumption การเติบโตของการใช้ไฟฟ้าในประเทศจีน มีการเติบโต 7.7% ในเดือนสิงหาคม เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และสูงขึ้น 5.4% เมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคม การใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่ของจีนมักจะอิงอยู่กับการผลิตและโรงงานอุตสาหกรรม การที่มีการใช้ไฟฟ้าสูงขึ้นก็หมายความว่าการผลิตสูงขึ้นด้วย
สถิติในเชิงการผลิตทุกอย่างชี้ไปในทิศทางเดียวกันคือ ทุกอย่างดีขึ้นแล้วและกำลังจะดีขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง การเติบโตกำลังกลับมา
2. ในมุมของ Valuation หุ้นจีนถือว่าไม่ถูก แต่ก็ไม่ได้แพงแบบหุ้นสหรัฐฯ
ถือว่าเป็นจุดที่ยอมรับได้ ดัชนี CSI300 ที่เป็นดัชนีรวมหุ้นขนาดใหญ่ของประเทศจีน มีค่า Forward P/E อยู่ที่ราว ๆ 16.49 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ 12.4 เท่า เหมือนจะสูง แต่พอไปเทียบกับตลาดอื่น ๆ อย่าง S&P 500 ที่มี P/E 26 เท่า ค่าเฉลี่ย 16 เท่า หรืออย่างฝั่งยุโรปเช่น STOXX 600 ที่มี P/E 22 เท่า ค่าเฉลี่ย 14 เท่า Valuation ตลาดจีนถูกกว่าในขณะที่กำลังกลับมาเติบโต
3. นอกจากเรื่องของ Valuation แล้ว ประเทศจีนยังถือว่าเป็นประเทศที่ใช้นโยบายอัดฉีดเศรษฐกิจน้อยกว่าประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ
ถ้าเราดูขนาดของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ มูลค่า 8.54 ล้านล้านหยวน นับเป็นสัดส่วนประมาณ 8.5% ของ GDP ตัวเลขนี้มากไหม? ถ้าเราไปดูประเทศอื่น ๆ เช่นสหรัฐฯ กระตุ้นเศรษฐกิจอยู่ที่ 12.6% ของ GDP ยุโรปใช้ไป 13.3% อังกฤษใช้ไป 21% นับว่าจีนยังมีกระสุนเหลืออีกพอสมควรในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เราอาจจะเห็นนโยบายด้านอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติมในอนาคตอันใกล้
4. จีนเป็นประเทศที่มีโครงสร้างด้านการเงินที่น่าสนใจมาก ๆ
คนจีนเป็นชาติที่มีเงินออมสูงถึง 47% ของ GDP ในขณะที่คนอเมริกันมีการออมเพียง 7.6% ของ GDP เท่านั้น ด้วยระดับดอกเบี้ยที่ต่ำเตี้ยในปัจจุบัน เป็นไปได้สูงมากว่าเงินออมเหล่านี้จะไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นในอนาคต ซึ่งจะเป็นตัวผลักดันหลักให้ราคาหุ้นสูงขึ้น
5. พูดถึงเรื่องการลงทุนของคนจีน 60% ของการลงทุนของคนจีนคืออสังหาริมทรัพย์
มีการลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงิน (พวกหุ้น กองทุน ตราสารหนี้) น้อยมาก ๆ เพียง 20% ของสินทรัพย์ทั้งหมด ในขณะที่ถ้าเทียบกับสหรัฐฯ คนส่วนใหญ่มีการลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินสูงถึง 43% นั่นหมายความว่าในอนาคตถ้าจีนมีการพัฒนาในทิศทางเดียวกันกับกระแสโลก คนจีนย่อมต้องลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินมากขึ้น ราคาหุ้นและกองทุนก็มีโอกาสมีพรีเมี่ยมที่สูงขึ้น
6. การขึ้นมารอบนี้ของหุ้นจีนมาจากเงินของนักลงทุนรายใหญ่และนักลงทุนสถาบัน
ในปี 2001 จีนมีวอลุ่มของกองทุนรวมอยู่ที่ 3,000 ล้านหยวน ปี 2020 คาดว่าจะสูงถึง 1.5 ล้านล้านหยวน เนื่องจากการลงทุนในกองทุนรวมที่มากขึ้นของคนจีน ยิ่งวอลุ่มกองทุนรวมสูง ความต้องการสินทรัพย์ทางการเงินก็สูงขึ้น ไปในทิศทางเดียวกันกับข้อ 5 จะส่งผลให้หุ้นและกองทุนมีพรีเมี่ยมของราคาที่สูงขึ้น
7. รอบนี้จะเหมือนปี 2015 หรือไม่? ก็มีโอกาส แต่ก็มีปัจจัย 2-3 ประเด็นที่ทำให้ครั้งนี้แตกต่างจากครั้งนั้น
This Time May Be Different ! อัตราการใช้เงินกู้ในการซื้อหุ้นวัดที่ Freefloat ของ Market Cap ตลาดอยู่ที่ 2.2% ห่างจาก 4.5% ในปี 2015 ตอนตลาดถึงจุดสูงสุดพอสมควร นอกจากนั้นทางการจีนยังค่อนข้างเข้มงวดมากกับการใช้เงินกู้ซื้อหุ้น ตอนปี 2015 ที่ตลาดจีนถล่มลงมาส่วนหนึ่งเกิดจากการกวาดล้างการใช้เงินกู้ในการซื้อหุ้น ทั้งแบบถูกกฏหมาย และผิดกฏหมายของจีน
8. คนจีนที่มีเงินตอนนี้หลายคนเข็ดขยาดจากการลงทุนในหุ้นและหันมาใช้กองทุนรวมที่มีผู้จัดการกองทุนดูแลแทน
กองทุนไหนมีผู้จัดการกองทุนชื่อดัง ผลตอบแทนดีอยู่จะได้รับความนิยมมาก ส่งผลให้การขึ้นมาของหุ้นจีนรอบนี้มาจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างชาติมากกว่าปี 2015
9. การมุ่งมั่นที่จะ Reform ตลาดการเงินและตลาดทุนของจีน ที่ต้องการเปิดกว้างสู่ตลาดโลกเทียบเท่าประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ
และด้วยภาพลักษณ์ที่เทา ๆ ของการลงทุนในหุ้นจีนในอดีต ทำให้จีนตอนนี้เข้มงวดมาก ๆ เรื่องตลาดหุ้น หุ้นที่อยู่ในตลาดสหรัฐฯ และมีการโกงเกิดขึ้นส่วนใหญ่โดนปรับหนักและติดคุก แต่ถ้าหุ้นในตลาดจีนโกง โทษไม่ใช่แค่ Delist หุ้น ปรับ และติดคุก แต่ถึงขั้นประหารชีวิตเลยทีเดียว เท่าที่ผมทราบมาต่อให้ออกจากตำแหน่งไปแล้วก็โดนลากกลับมารับโทษได้ ไม่เหมือนบางประเทศ หุ้นจีนที่เห็นว่าโกงอย่าง Luckin Coffee รอดไปได้เพราะไป Listed อยู่ในตลาด NASDAQ ของสหรัฐฯ (แต่จะรอดไปได้นานแค่ไหนนี่ต้องติดตามนะครับ เครือข่ายพรรคคอมมิวนิสต์จีนมีอยู่ทั่วโลก)
10. สุดท้ายขอพูดเรื่องปัจจัยที่ผมว่าคนส่วนใหญ่รู้อยู่แล้ว คือเรื่องขนาดของ GDP และ GDP Per Capita
ตอนนี้ Nominal GDP ของจีนอยู่ที่ 14 ล้านล้านเหรียญ ของสหรัฐฯ อยู่ที่ 21 ล้านล้านเหรียญ ด้วยอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจีน และการพัฒนาอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี เราจะเห็นจีนแซงสหรัฐฯ ในไม่ช้า ผมว่าใช้เวลาไม่ถึง 10 ปี การลงทุนในจีนตอนนี้คือการลงทุนระยะยาวที่มีศักยภาพสูงมาก ๆ ที่จะเติบโต ซึ่งก็จะทำให้หุ้นหรือกองทุนของเราเติบโตตามไปด้วยง่ายขึ้นเยอะ
และนี่ก็เป็นสถิติและเหตุผลหลาย ๆ ข้อที่ผมรวบรวมมาเท่าที่จำได้ และหาข้อมูลเจอ หากข้อไหนผิดพลาดก็ขออภัยด้วยครับ แต่คิดว่า 80-90% ไม่น่าเพี้ยนไปจากสิ่งที่ผมเขียนมากนัก ส่วนกองทุนจีนที่ผมสนใจเป็นพิเศษก็จะมี TMBCOF, ASP-EVOCHINA และน้องใหม่อย่าง WE-CHIG 3 กองนี้ต่างกันอย่างไรขอติดไว้ในบทความหน้านะครับ อยากให้เพื่อน ๆ ได้ข้อมูลเร็วที่สุด ผมมัวแต่นั่งรวบรวมให้ครบคงไม่ทันกินกันพอดี ยังไงอย่าลืมหาข้อมูลเพิ่มเติมกันด้วยนะครับ
ผลตอบแทนของคุณความเสี่ยงก็ของคุณเช่นกัน
ลงทุนด้วยความระมัดระวังครับ
BuffettCode
คำเตือน
ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด และ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”