นาทีนี้ Tech Theme ยอดฮิตต้องมีชื่อ ”รถยนต์ไร้คนขับหรือ Autonomous Car” ติดอันดับแน่นอน
พิสูจน์ได้จาก 1 ปีล่าสุดหุ้นที่เกี่ยวข้องอย่าง Tesla บวกเกือบ 700% หรือกลุ่ม Lidar ที่มีบริษัทผู้นำ เช่น Velodyne Lidar หรือ Luminar Technologies ก็สร้างราคาหุ้นบวกกระจาย
รู้หรือไม่ว่าระบบรถยนต์ไร้คนขับนั้นถูกแบ่งออกเป็น 5 Level (เรียงตามลำดับความสามารถของรถยนต์ Level 5 คือรถขับได้ด้วยตัวเอง ตัดพวงมาลัยทิ้งไปเลย !) ซึ่งเทคโนโลยีสุดล้ำ Tesla Autopilot ก็ยังคงถูกจัดอยู่ใน Level 2 เท่านั้น
มาดูความล้ำของแต่ละ Level กัน !!
Level 1 : Driver Assistance
จะเป็นรูปแบบการช่วยผู้ขับขี่ได้ในบางสถานการณ์ เช่น Cruise Control ที่จะช่วยควบคุมความเร็วของรถให้อยู่บนค่าที่ Set เอาไว้ แต่หากเราเหยียบเบรกระบบก็จะปรับกลับมาให้เราเป็นผู้ควบคุมรถได้เหมือนเดิม (ระบบนี้ใช้มาเป็น 10 ปีแล้ว)
หรืออีกระบบที่เรียกว่า Lane Keep Assistant ช่วยคุมบังคับให้รถกลับมาอยู่ในเลนโดยอัตโนมัติถ้ามีการเบี่ยงออกเกิน Level นี้การควบคุมจะยังอยู่ที่คนเป็นหลัก เพียงเเต่มีระบบเพิ่มเติมเพื่อช่วยให้สามารถขับได้สบายขึ้น
Level 2 : Partial Driving Automation
ใน Level นี้จะมีการใช้งาน ADAS เพิ่มมา ทำให้สามารถใช้ทั้งสองระบบของ Level 1 (Cruise Control และ Lane Keep Assistant) ได้พร้อมกัน ช่วยควบคุมความเร็วและบังคับให้รถอยู่บนเลนเดิมได้อย่างอัตโนมัติ รวมถึงสามารถรักษาระยะระหว่างรถคันหน้าได้ด้วย
ระบบของ Tesla Autopilot, Volvo’s Pilot Assist และ Nissan ProPilot Assist อยู่ใน Level นี้
Level 3 : Condition Driving Automation
รถยนต์สามารถควบคุมพวงมาลัย คันเร่ง และเบรกได้เอง เป็นการทำงานระว่าง Radar, Sensor, กล้อง เพื่อป้องกันการเกิดอันตราย โดยจะมีชิปที่เป็นเหมือนสมองของรถยนต์คอยสั่งการระบบอยู่
Level 3 จะทำให้คนขับไม่จำเป็นต้องจับพวกมาลัยเลย และระบบสามารถแซงรถข้างหน้าที่วิ่งช้ากว่าได้ แต่เบรกฉุกเฉินคนขับต้องทำเอง
ผู้ผลิตรถยนต์ส่วนใหญ่ยังคงจำกัดให้ใช้ Function นี้ในทางหลวงเท่านั้นและต้องใช้ความเร็วไม่มาก
Level 4 : High Driving Automation
เรียกได้ว่าเป็นการขับเคลื่อนด้วยตัวเองแบบ Fully Autonomous แล้ว แต่ส่วนใหญ่จะต้องอยู่ในเขตเมืองที่มีการทำแผนที่แบบ HD แล้วเท่านั้น และใน Level นี้ระบบรองรับเหตุการณ์ฉุกเฉินตัดสินใจเบรกกะทันหันเองได้
โดยปัจจุบันข้อจำกัดยังอยู่ในเรื่องที่จะขับได้ในสถานที่ที่ออกแบบโดยเฉพาะเท่านั้น ตัวอย่างเช่น Google Waymo Project ซึ่งกำลังพัฒนาและทดสอบ Level นี้อยู่
Level 5 : Full Driving Automation
ที่สุดของระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ เพราะมันสามารถเคลื่อนที่ไปที่ไหนก็ได้โดยไม่ต้องมีทั้งพวงมาลัย คันเร่ง เบรก สามารถขับเคลื่อนได้ทุกสภาพแวดล้อม รถรู้จักป้ายจราจร และเรียนรู้เส้นทางเองเพิ่มเติมได้ด้วย
แต่ละ Level ที่รถยนต์ฉลาดขึ้นย่อมต้องการทั้ง Radar, Sensor, Chip, กล้อง เพิ่มขึ้นมหาศาล (ตามรูป) ซึ่งก็จะมีหุ้นหลายตัวที่สามารถสร้าง s-curve การเติบโตใหม่จากเทรนด์นี้ ตัวอย่างเช่น กลุ่มชิปในรถยนต์ที่คาดว่าการมาถึงของระบบรถยนต์ไร้คนขับและรถยนต์ไฟฟ้าจะเร่ง Demand พาให้หุ้น ON Semiconductor, Infineon Technologies, NXP Semiconductors ลอยทั้งแผง
BottomLiner
ที่มาบทความ: https://bottomliner.co/uncategorized/s-curve-self-driving-car/