Mercado Libre ได้รับการยอมรับว่าเป็นเหมือน Alibaba ของทวีปอเมริกาใต้ มีธุรกิจครอบคลุมทั้ง E-Commerce และ FinTech พร้อมสเกลโตต่ออีกหลายเท่า
Mercado Libre (NASDAQ: MELI) เป็นบริษัทอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดในลาตินอเมริกา โดยบริษัทเป็นหนึ่งในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์โควิดที่ผ่านมาเนื่องจากผู้คนต้องหันมาซื้อของออนไลน์มากขึ้นทำให้รายได้ของบริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งปัจจุบัน Mercado libre มีผู้ใช้งานกว่า 79 ล้านรายในแพลตฟอร์ม
Mercado Libre ประกอบธุรกิจหลัก ๆ ด้วยกัน 6 อย่าง
- Mercado Libre → แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ (คล้าย Amazon)
- Mercado Pago → ผู้ให้บริการเครื่องชำระเงินแบบดิจิตอลสำหรับร้านค้าผ่านเครื่องรูดบัตร POS รวมถึงแพลตฟอร์ม Digital Wallet (คล้าย Square)
- Mercado Envios → ผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์
- Mercado Shops → ผู้ให้บริการสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการหน้าร้านค้าออนไลน์เป็นของตัวเอง (คล้าย Shopify)
- Mercado Libra Publicitat → แพลตฟอร์มเกี่ยวกับสื่อโฆษณาออนไลน์
- Mercado Credito → ผู้ให้บริการปล่อยสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการและลูกค้า
รายได้ Mercado Libre เติบโตแบบก้าวกระโดด
- ปี 2018 มีรายได้ 1,440 ล้านดอลลาร์
- ปี 2019 มีรายได้ 2,296 ล้านดอลลาร์
- ปี 2020 มีรายได้ 3,973 ล้านดอลลาร์
งบไตรมาส 3
Mercado Libre ประกาศรายได้อยู่ที่ $1.9 billion +66% YoY มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เล็กน้อย โดยรายได้จากธุรกิจ Commerce เติบโตขึ้น +69% YoY และรายได้จากธุรกิจ Fintech เติบโตขึ้น +62% YoY
ซึ่งรายได้ที่เติบโตขึ้นสืบเนื่องมาจากจำนวน Gross Merchandise Volume (ยอดธุรกรรมที่เกิดขึ้นในแพลตฟอร์ม Mercado Libre) ที่เติบโตขึ้น +30% YoY รวมถึงยอด Total Payment Volume (ยอดธุรกรรมที่เกิดขึ้นใน Mercado Pago) ที่เติบโตขึ้น +59% YoY
อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้ใช้งานในไตรมาสนี้มี 79 ล้านราย ถึงแม้จะเป็นระดับที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับในอดีต แต่ก็เติบโตเพียง +3.4% YoY สาเหตุเป็นเพราะการเปิดเมืองดึงคนกลับเข้าโลกออฟไลน์และยังมีการแข่งขันจาก Shopee Brazil ที่แย่งผู้ใช้งานไปเพียบ
โอกาสการเติบโต
E-Commerce Penetration ใน Latin America ยังต่ำ เราเชื่อว่าธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศแทบ Latin America ยังมีโอกาสเติบโตอีกมากถึงแม้ว่าจะมีดีมานด์ที่เพิ่มสูงขึ้นมากไปแล้วในช่วงสถานการณ์โควิด โดยถ้าเราดูจาก E-commerce Penetration ของประเทศในแทบนี้อย่าง Brazil Mexico หรือ Chile จะเห็นได้ว่ายังอยู่ในระดับที่ต่ำมากที่ประมาณ 8-12% เทียบกับประเทศอย่างอเมริกาที่กว่า 20% และอย่างจีนที่เกือบ 30%
Cashless Society
มากไปกว่านั้น เราเชื่อว่าธุรกิจทางด้านฟินเทคอย่าง Mercado Pago ก็มีโอกาศเติบโตได้อีกมากเช่นกัน เพราะปัจจุบันจำนวนผู้ใช้เงินสดใน Latin America ยังมีสัดส่วนอยู่มากที่ประมาณ 35% สำหรับการซื้อของผ่านหน้าร้าน ซึ่งถ้าเราไปดูภูมิภาคอย่าง Europe จะอยู่ที่ 35% Asia-Pacific อยู่ที่ 19% และ North America อยู่ที่ 11%
โดยเราเชื่อว่าการใช้จ่ายผ่านดิจิทัลไม่ว่าจะเป็นทั้งแบบ QR Code หรือแบบรูดบัตรผ่านเครื่อง น่าจะมีจำนวนที่เยอะขึ้นอีกมากในอนาคตและบริษัทอย่าง Mercado Pago ก็จะได้ประโยชน์จากเทรนด์นี้เช่นกัน
ความเสี่ยง
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทอีคอมเมิร์ซที่ทำธุรกิจในแทบ Latin America จะต้องเจอคู่แข่งมหาโหดอย่าง Shopee แน่นอน ซึ่งถ้าเราดู Market Share ของผู้เล่นในตลาดจะเห็นว่า Shopee ได้ก้าวเข้ามาเป็นอันดับ 1 แล้วถ้านับจาก MAU (จำนวนผู้ใช้งานรายเดือน) ของบริษัทถึงแม้ Shopee จะเพิ่งเริ่มได้เพียงแค่ 2 ปี
โดยกลยุทธ์ที่ Shopee ใช้ก็คือการคิดค่าคอมมิชชั่นที่น้อยกว่าคู่แข่งในตลาดที่มาก (Shopee เคยคิดที่ 6% เทียบกับ Mercado Libre ที่ 17%) ทำให้ร้านค้าเข้ามาขายของในแพลตฟอร์ตเยอะขึ้นก่อนแล้วค่อยมาปรับค่าคอมมิชชั่นทีหลัง มากไปกว่านั้น Shopee ยังมีเกมในแพลตฟอร์มที่ให้ลูกค้าเล่นเพื่อเก็บโปรโมชั่นต่าง ๆ อีกด้วย
NPL
อีกความเสี่ยงนึงของบริษัทคือธุรกิจปล่อยกู้อย่าง Mercado Credito ที่เจอกับ NPL ที่พุ่งสูงขึ้นมากจากสถานการณ์โควิดที่ทำให้ผู้ประกอบการณ์เลือกที่จะเบี้ยวหนี้ อย่างไรก็ตามสินเชื่อที่ปล่อยใหม่น่าจะไม่ได้เป็น NPL ที่เยอะเหมือนในอดีตแล้ว
มุมมองการลงทุน
เราเชื่อว่า Mercado Libre น่าจะมีโอกาศเติบโตอีกมาก จากอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซและฟินเทคที่กำลังเติบโตใน Latin America แต่นักลงทุนก็ต้องระวังความเสี่ยงเรื่องคู่แข่งอย่าง Shopee ที่กำลังมาแรงด้วยเช่นกันว่าจะมาแย่งฐานลูกค้าของ Mercado Libre
ทางด้าน Mercado Libre ตรงตามตำราการเลือกหุ้นของ Baillie Gifford อย่างแท้จริง โดยเลือกลงทุนในธุรกิจที่เป็นผู้ชนะ และมีความสามารถที่จะโตอีกหลายเท่าในอนาคต
BottomLiner