เมื่อไม่นานมานี้ ราคาเหรียญน้องหมาชิบะ Dogecoin (DOGE) ได้ปรับสูงขึ้นกว่า 400% จากประมาณ 0.5 บาท ขึ้นไปทำระดับสูงสุดที่ประมาณ 2 บาทภายในวันเดียว บนกระดานเทรดคริปโทเคอร์เรนซีของไทยอย่าง Bitkub อะไรคือสาเหตุที่แท้จริงของการปรับขึ้นครั้งนี้กันแน่?
Dogecoin คืออะไร?
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักเหรียญ Dogecoin กันก่อน โดยเจ้าเหรียญ Dogecoin มีที่มาจากมีม (Meme) Doge ที่ล้อเลียนคำว่า Dog บนโลกอินเทอร์เน็ต ตามข้อมูลจากเว็บไซต์ Knowyourmeme มีมนี้เกิดขึ้นมาในปี 2013 และได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจนถูกยกย่องให้เป็น “Meme of the year” ของปีนั้นเลยทีเดียว
สำหรับเหรียญ Dogecoin ถูกสร้างขึ้นโดยนาย Billy Markus วิศวกรซอฟต์แวร์ของ IBM และนาย Jackson Palmer วิศวกรซอฟต์แวร์ของ Adobe โดยมีแนวคิดที่จะสร้างสกุลเงินดิจิทัลที่ “รวดเร็ว เป็นมิตร สนุก และปราศจากค่าธรรมเนียมธนาคาร”
แรกเริ่มนั้น นาย Jackson แค่กล่าวติดตลกเกี่ยวกับ Dogecoin บนอินเทอร์เน็ตเท่านั้น ก่อนที่นาย Billy จะติดต่อเข้ามา ทั้งคู่เลยตัดสินสร้าง Dogecoin ขึ้นมาจริง ๆ เสียอย่างนั้น
Dogecoin ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2013 โดยมีเทคโนโลยีพื้นฐานเหมือนกับ Litecoin และ Luckycoin ที่ใช้ระบบ Proof-of-work เหมือนกัน ส่งผลให้ Dogecoin ไม่มีฟีเจอร์สำคัญอะไรที่แตกต่างไปจากสกุลเงินดิจิทัลสกุลอื่น ๆ ในช่วงนั้น
จุดเปลี่ยนสำคัญของ Dogecoin
ด้วยความที่เป็นเหรียญที่ดูเป็นมิตร ทำให้ Dogecoin มีชุมชนที่ให้สนับสนุนอยู่เป็นจำนวนมากพอสมควร ส่งผลให้เกิดการนำ Dogecoin มาใช้กันจริง ๆ โดยหลัก ๆ จะใช้ในการ “ให้ทิป” บนโซเชียลเน็ตเวิร์คอย่าง Reddit หรือ Twitch แก่ผู้ที่ทำคอนเทนต์หรือแสดงความคิดเห็นออกมาได้น่าสนใจ คล้าย ๆ กับการกด Like บน Facebook
หมายความว่ามูลค่าของ Dogecoin ไม่ได้มาจากเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลัง แต่มาจากเครือข่ายการใช้งานที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นั่นเอง
และในช่วงต้นปี 2018 นั่นเอง Dogecoin ได้กลายเป็นที่สนใจของบรรดาสื่อมวลชนต่างประเทศ เนื่องจากมูลค่าตลาดรวมของ Dogecoin ได้ขึ้นแตะระดับ 2 พันล้านดอลลาร์ และเมื่อมีข่าวเกี่ยวกับ Dogecoin ออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ จึงส่งผลให้มีนักลงทุนหน้าใหม่ ๆ ไหลเข้ามากันอย่างล้นหลาม
ปัจจุบัน Dogecoin กลายเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าตลาดรวมกันสูงที่สุดอันดับที่ 7 ของโลก โดยมีมูลค่ารวมประมาณ 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามข้อมูลจาก Coinmarketcap
สาเหตุที่แท้จริงของการขึ้นครั้งล่าสุด?
หากติดตามข่าวตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาเมื่อไม่นานมานี้ ก็น่าจะเห็นกรณีของหุ้น Gamestop ที่ถูกเข้าซื้อโดยนักลงทุนรายย่อยจนราคาขึ้นกว่า 1,700% ภายในระยะเวลาเพียง 2 สัปดาห์ เกิดจากการที่ผู้ใช้ในกลุ่ม Wall Street Bets (WSB) ของเว็บบอร์ด Reddit ที่มีสมาชิกในกลุ่มถึง 3 ล้านคน พยายามปลุกกระแสต่อต้านนายทุนในตลาด Wall Street ที่พากันตั้งสถานะ Short Selling ในหุ้น Gamestop มาโดยตลอด
(การ Short Selling อธิบายง่าย ๆ ได้ว่าเป็นการคาดการณ์ว่าราคาหุ้นจะตก เพื่อรอทำกำไรเมื่อราคาตกลงมาจริงๆ)
กลุ่ม WSB ต้องการที่จะ “สั่งสอน” พวกนายทุนเหล่านี้ จึงปลุกกระแสให้คนในกลุ่ม WSB และทั้งเว็บบอร์ด Reddit พากันไปซื้อหุ้นของ Gamestop เพื่อหนุนให้ราคาหุ้นสูงขึ้นมา ส่งผลให้เหล่านายทุนขาดทุนกันไปอย่างยับเยิน
ใช่แล้ว สาเหตุหลักที่ทำให้ราคาของ Dogecoin พุ่งสูงขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ นี้มาจากการที่ผู้ใช้ทวิตเตอร์นามว่า WSB Chairman ที่มีผู้ติดตามเกือบ 7 แสนคน เป็นผู้เริ่มปลุกกระแส โดยทวีตข้อความสั้น ๆ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาว่า “Doge เคยขึ้นไปถึง 1 ดอลลาร์หรือเปล่านะ?” จากนั้นไม่นานก็เริ่มเกิดความเคลื่อนไหวภายในกลุ่ม WSB ไม่ว่าจะเป็นในเว็บบอร์ด Reddit หรือแม้กระทั่งในกลุ่ม Telegram
ไม่ใช่แค่ WSB Chairman เท่านั้น แต่บุคคลที่ทั้งโลกกำลังจับตามองอย่างนาย Elon Musk CEO ของ Tesla ก็มีการทวีตข้อความถึง Dogecoin เมื่อไม่นานมานี้ด้วยเช่นกัน โดยเป็นการทวีตรูปปกนิตยสารที่เป็นรูปสุนัขเท่านั้น แต่ก็เป็นการช่วยหนุนกระแสเข้าซื้อ Dogecoin ให้รุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Elon Musk กล่าวถึง Dogecoin โดยในเดือน ธ.ค. ปีที่ผ่านมา Elon Musk ได้ทวีตข้อความสั้น ๆ ว่า “ขอคำเดียว: Doge” แต่ก็ทำให้ราคา Dogecoin ในช่วงนั้นปรับขึ้นไปถึง 20% และหากย้อนกลับไปอีกในเดือน ก.ค. นาย Elon Musk ก็ได้ทวีตรูปเกี่ยวกับ Dogecoin และครั้งนั้นก็ทำให้ราคา Dogecoin พุ่งขึ้นไปถึง 14% เลยทีเดียว
ในขณะที่เขียนบทความนี้ ราคาของเหรียญ Dogecoin ได้พุ่งสูงขึ้นถึง 443% จากระดับ 0.5 บาท ทำระดับสูงสุดที่ 2.0589 บาท บนกระดานเทรด Bitkub ขณะที่ยอดแฮชแท็ก #Dogecoin บนโลกอินเทอร์เน็ตก็พุ่งสูงขึ้นถึง 1800% กลายเป็น Altcoin เหรียญแรกที่มีคนกล่าวถึงมากกว่า Bitcoin ในระยะเวลา 24 ชม.
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนับว่าเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่น่าจดจำของวงการคริปโทเคอร์เรนซี การที่มูลค่าของสินทรัพย์จะสามารถปรับขึ้นได้อย่างรุนแรงในระยะเวลาสั้น ๆ จากการเข้าซื้อจากนักลงทุนรายย่อย แสดงให้เห็นถึงพลังของโซเชียลเน็ตเวิร์คและคนตัวเล็ก ๆ ที่มารวมตัวกัน ทำให้สามารถสั่นคลอนได้แม้กระทั่งตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Wall Street รวมถึงตลาดคริปโทเคอร์เรนซี ซึ่งเป็นตลาดที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้
อ้างอิง: Cointelegraph, Commodity.com, CNN, Coinmarketcap