กระแสในตอนนี้วงไอดอลกรุ๊ปที่ใครๆ ก็จับตามอง วง BNK48 ใช้เวลาเพียง 1 ปี เท่านั้น นับตั้งแต่เริ่มต้น Debut หรือ ก่อตั้งวง ในต้นปี 2560 และก้าวเข้ามาสู่ตลาดเพลงไทยช่วงกลางปี 2560 สร้างปรากฏการณ์ที่สังคมไทยต่างพูดถึงและให้ความสนใจอย่างล้นหลาม
วันที่ 23 พฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมา บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการป้ายสื่อโฆษณาครบวงจร ทั้งกลางแจ้ง บนรถ ภายในสนามบิน ห้างสรรพสินค้า สื่อโฆษณาออนไลน์ มีทุนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 353,500,000.00 บาท ประกาศแจ้งกับทางตลาดหลักทรัพย์ว่าจะเข้าซื้อหุ้น บริษัท บีเอ็นเค48 ออฟฟิศ จำกัด ในสัดส่วนร้อยละ 35 ของทั้งกิจการ จากผู้ถือหุ้นเดิมในอัตราส่วนร้อยละ 17.5 คิดเป็น 350,000 หุ้น มูล ค่าไม่เกิน 82,250,000 บาทและซื้อหุ้นเพิ่มทุนอีก 538,500 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 17.5 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดหลัง เพิ่มทุน มูลค่าไม่เกิน 100,000,000 บาท มูลค่าการลงทุนรวมทั้ง สิ้นไม่เกิน 182,250,000 บาท
การเข้ามาของ PLANB นับตั้งแต่ถือหุ้น 17.5 % เห็นได้ว่ามีการโฆษณา สมาชิกวง BNK48 และเพลง “วันแรก” หรือ “Shonichi” ทั่วกรุงเทพ รวมถึงป้ายโฆษณา BNK48 Team B III [PARTY ga Hajimaru yo] @ BNK48 The Campus บนรถประจำทาง และริมถนน ที่ PlanB ดูแลอยู่ก่อนหน้านี้
หากคำนวนมูลค่าทั้งหมด BNK48 มีมูลค่าถึง 537,857,142 หากต้องการซื้อทั้งบริษัทในตอนนี้ คำถามคือ…
ทำไม PlanB ถึงเลือกลงทุนใน BNK48 PlanB เห็นศักยภาพและโอกาสอะไรในการลงทุนครั้งนี้ ?
BNK48 ได้สร้างปรากฏการณ์ในอุตสาหกรรมบันเทิงไทยอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ว่าจะเป็น MV คุกกี้เสี่ยงทาย หรือ Koisuru Fortune Cookie ที่มียอดคนดูทะลุ 100 ล้านวิว ภายใน 4 เดือน MV เพลง River ที่มีวิวยอดชม 1 ล้านวิว ภายใน 14 ชม. ยอดขาย Single ที่ 3 Shonichi จำนวน 213,500 แผ่น ราคาแผ่นละ 350 บาท สามารถสร้างยอดขายซีดีทั้งหมดโดยมีมูลค่ามากถึง 75 ล้านบาท ในยุคที่อุตสาหกรรมเพลงที่ซบเซาและเน้นขายผ่าน Digital download หรือฟังออนไลน์ในปัจจุบัน
จุดแข็งที่วง BNK48 มี นั้นคือ ไม่ใช่วงเกิร์ลกรุ๊ป หรือวงไอดอลธรรมดาทั่วไป เป็นวงที่มีโมเดลที่น่าสนใจมาก ๆ โดยไอระบบวงไอดอลที่มีต้นแบบมากจากวง AKB48 นั้นเอง โดยมี Concept คือ “Idol you can meet ทุกคนสามารถพบปะเข้าถึงไอดอลได้” ต่างจากดารานักร้องโดยทั่วไป ที่ดูสมบูรณ์แบบ
จะเห็นพัฒนาการความพยายามที่สร้างบุคลิกหรือความสามารถในด้านการร้องเพลง การแสดง และด้านอื่นๆ ที่ให้แฟนคลับ หรือที่เรียกกันว่า “โอตะ” ผลักดัน สนับสนุนและเป็นกำลังใจให้ และเมื่อมีจำนวนสมาชิกที่มีจำนวนมาก ทุกคนสามารถเข้าถึงบุคลิกของแต่ละสมาชิกที่หลากหลายได้ง่าย
เมื่อไอดอลมีชื่อเสียง รวมถึงมีการแข่งขันกันภายในวง สร้างบุคลิก ความสนใจ เพื่อให้ได้รับการคัดเลือกเป็นสมาชิกหลัก จึงเกิดการแข่งขัน พัฒนากันอยู่ตลอดเวลา เกิดความผูกพันธ์กันระหว่างสมาชิกวงกับแฟนคลับ ต่อสู้และพัฒนาตัวเองไปด้วยกัน ทำให้ตัวแบรนด์วง BNK48 มีความแข็งแกร่ง และเมื่อใดที่สมาชิกมีการออกจากวง หรือที่เรียกกันว่า “จบการศึกษา” จะมีการสร้างไอดอลหรือสมาชิกวงรุ่นต่อๆ ไปขึ้นมาทดแทน เห็นได้จากการประกาศ BNK48 Generation 2 เมื่อปลายเดือน เมษายน ที่ผ่านมา หากเปรียบคงเปรียบได้กับ โรงเรียนที่เข้ามาค้นหา ฝึกศักยภาพ พร้อมเติบโตต่อไป แฟนคลับก็ยังคงสนับสนุนสมาชิกที่ออกไปแล้ว สมาชิกที่ยังอยู่ และตัววง BNK48 ด้วย
เห็นได้ว่า Concept นี้ประสบความสำเร็จและอยู่มาอย่างยาวนาน เห็นได้จาก AKB48 ก่อตั้งมาแล้ว 13 ปีนับตั้งแต่เริ่มในปี 2005 โดย AKB มีวงในเครือทั้งในและต่างประเทศ ทั้งสิ้น 10 วง
จุดแข็งต่อมาที่น่าสนใจมากๆ คือ สินค้าที่ BNK48 จำหน่าย ที่พูดถึงเป็น Talk of the town มากที่สุดคือ “บัตรจับมือ” เมื่อไอดอลที่ ทุกๆคนในวงเป็นไอดอลที่คุณสามารถไปพบได้ทำให้แฟนคลับมีส่วนร่วมอยากไปพบ นั้นคือการไป “จับมือ” จะมีเวลา 8 วินาที ได้พูดคุยกับไอดอลที่เราเลือกอย่างใกล้ชิด แต่ว่าจะหาบัตรจับมือได้จากที่ไหน
สามารถหาได้จาก CD single ซึ่ง สิ่งสำคัญที่แถมมาในกล่องซีดีก็คือ รูปสุ่มของไอดอล 1 ใบ และ บัตรเข้าร่วมงานจับมือของ BNK48 ทำให้ของแถมเป็นตัวชูโรงหรือมีคุณค่า ทำให้ซีดีที่แทบจะขายไม่ได้เพราะเพลงถูกนำไปจ่ายแจก หมดไป ซึ่งแฟนคลับซื้อซีดีจำนวนมาก ด้วยเหตุผล
1. สะสมไอดอลที่ตัวเองชอบ ยิ่งซื้อมากยิ่งมีโอกาสเจอรูปไอดอลที่ตัวเองชอบมากขึ้น เพราะมาจากการซึ่งบางรูปก่อนหน้านี้ มีราคาหลักหมื่น บางรูปที่มีลายเซนต์ของไอดอล มีมูลค่าถึงหลักแสนบาทก็มี เมื่อมีราคาที่สูงเมื่อสะสมย่อมมีผู้คนที่สนใจเข้ามาสะสมและเก็งกำไรอีกด้วย
2. บัตรจับมือ มีเวลา 8 วินาที หากเป็นไปได้แฟนคลับอยากมีเวลาพูดคุยที่นานขึ้น และยิ่งชอบหลายคนยิ่งต้องมีหลายๆ ใบอีกด้วย ในปัจจุบันราคาที่ขายกันในตลาดกลุ่มแฟนคลับมีมูลค่า 350 บาท ซึ่งเท่ากับซีดีที่ทาง BNK48 จำหน่าย
นอกจาก CD ยังมีสินค้าอื่นๆ เช่น…
BNK48Cafe เป็นสถานที่ขายกาแฟและของที่ระลึก โดยจำกัดไว้เพียง 1,250 คิวต่อวัน หากอยากวัดดวง สุ่มได้ที่รองแก้วลายไอดอล 1 ใน 26 สมาชิก สามารถสั่ง Signature Drink หรือซื้อเกิน 250 บาทต่อใบเสร็จ หากโชคดีจะได้ลายไอดอลที่ชอบ และโชคดียิ่งกว่าหากได้พร้อมลายเซ็นจึงเกิดปรากฏการณ์ไปตั้งแคมป์ เข้าแถวรอตั้งแต่ก่อนห้างเปิด และเอาแต่ที่รองแก้ว แล้ววางเครื่องดื่มทิ้งไว้ เหมือนสมัยก่อนที่ซื้อแล้วทิ้งขนมถุงไว้เก็บแต่ของแถมสะสมข้างใน หากค่าเฉลี่ยต่อวัน มีคนมาต่อคิวทาน 500 คน สั่ง Signature drink รายได้ต่อวันอยู่ที่ 125,000 บาท หรือปีละ 45 ล้านบาท
เมื่อรวมกับการแสดงในโรงละครของ BNK48 ณ ปัจจุบัน จัดแสดงสัปดาห์ละ 3 รอบ วันเสาร์ 1 รอบ และวันอาทิตย์ 2 รอบ ซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 350 ที่นั่งให้แฟนคลับได้มาติดตาม โดยคิดค่าเข้าชมอยู่ที่ 400 บาทต่อที่นั่ง 1 รอบจะมีรายได้ 140,000 บาท อาทิตย์ละ 420,000 1 ปี จะมีรายได้ 21 ล้านบาท
ไม่นับรวม BNK48shop และโฆษณา หรืออีเว้นท์และโฆษณาที่ไหลเข้ามาเรื่อยๆ ได้ยินแว่วๆ ว่าคิวเต็มไปถึงปีหน้าแล้ว ใน 1 ปี จะมีการออก 4 single จะมีรายได้รวม 300 ล้านบาท รวมกับ ค่าเข้าโรงละคร และ BNK48cafe เป็นรายได้รวม 366 ล้านบาท ต่อปี
ใครถือหุ้นของ บริษัท บีเอ็นเค48 ออฟฟิศ จํากัด บ้าง?
- PlanB ถือหุ้น 35%
- RAM (Rose Artist Management) ถือหุ้น 34.8%
- บริษัทหนึ่งในจีน 15.2%
- AKS (บริษัท เอเคเอส จำกัด) บริษัทแม่ของ AKB48 15%
จึงไม่แปลกใจเลย โอกาสช่องทางในการเข้ามาทำธุรกิจในวงการบันเทิงและคอนเท้นต์เกี่ยวกับไอดอลของ PLANB ครั้งนี้ เมื่อการเข้ามาของ PLANB มีหุ้นที่เยอะกว่า RAM ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้ก่อตั้งวง จะส่งผลต่อการบริหาร อนาคตของวง BNK48 อย่างไร วงการสื่อโฆษณา และวงการบันเทิงจะเปลี่ยนแปลงมากน้อยแค่ไหนกัน และสามารถสร้างสรรค์ผลงานรวมถึงสร้างกระสใหม่ๆ และ รักษากระแสไอดอลไทยในวงการบันเทิงไทยได้อีกนานแค่ไหน ผมเอาใจช่วยรันวงการไอดอลไทย เหมือนกับที่ปัจจุบันเอาใจช่วย Izuta Rina ให้ติดสมาชิกหลักใน single ถัดไปเช่นเดียวกัน (เผลอแอบบอกคนที่ชอบในวง BNK48 ซะแล้ว) …..