รีวิว:
- ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (ไม่รวมญี่ปุ่น) ทำผลงานได้ดีที่สุดในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
- ตุลาคม 2020: เรามีสัดส่วนหุ้นที่ค่อนข้างน้อย เอนเอียงไปทางหุ้นเอเชีย-แปซิฟิก (ไม่รวมญี่ปุ่น) ทำให้เราชนะหุ้นโลกได้
- ตั้งแต่ก่อตั้ง: แพ้หุ้นโลก แต่มีจุดขาดทุนสูงสุด (Drawdowns) ที่ต่ำกว่า
- ตั้งแต่ก่อตั้ง: เมื่อเทียบกับความผันผวนของตลาดหุ้นโลก พอร์ต All Weather Strategy มีความผันผวนน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง
- ตั้งแต่ก่อตั้ง: พอร์ตการลงทุนนี้มีการปรับตัวลดลงน้อยกว่าตลาดหุ้นโลก ในช่วงเวลาเดียวกัน
- ตั้งแต่ก่อตั้ง: AWS มักจะทำผลงานได้เหนือกว่า เมื่อหุ้นโลกเผชิญภาวะร่วงหนัก
มุมมอง:
- วันเลือกตั้งสหรัฐฯ ไม่ได้เป็นจุดสิ้นสุดของความไม่แน่นอน
- โฟกัสการจำกัดความเสี่ยงขาลง
รีวิว: สัดส่วน 25% ในหุ้นเอเชีย-แปซิฟิก (ไม่รวมญี่ปุ่น) ช่วยให้ผลการดำเนินงานโดดเด่น
- ในเดือนตุลาคม หุ้นเอเชีย-แปซิฟิก (ไม่รวมญี่ปุ่น) และตลาดเกิดใหม่ สามารถทำกำไรได้
- หุ้นยุโรปพัฒนาแล้วได้รับผลกระทบหนักสุด
- การเพิ่มสัดส่วนหุ้นสหรัฐฯ เป็น 10% จากแต่เดิม 5% กลายเป็นตัวฉุดผลการดำเนินงานเล็กน้อย
- สัดส่วน 25% ในหุ้นเอเชีย-แปซิฟิก (ไม่รวมญี่ปุ่น) ของเรานั้นคือแรงขับเคลื่อนหลักที่ช่วยให้ผลการดำเนินงานโดดเด่นในเดือนตุลาคม
รีวิว: ผลตอบแทนตราสารหนี้ยังคงนิ่ง ดังที่คาดไว้ครับ
- ในการปรับพอร์ตครั้งล่าสุด เราลดสัดส่วนตราสารหนี้เหลือ 15% จาก 30% เหตุเพราะตราสารหนี้เริ่มน่าสนใจน้อยลง โดยเราถือแค่ตราสารหนี้ภาครัฐของประเทศไทยเท่านั้น แทนที่จะถือผสมกับตราสารหนี้ภาครัฐโลก และตราสารหนี้ภาคเอกชน
- การคงสัดส่วนตราสารหนี้ไว้ที่ 15% แทนที่จะเป็น 5% นั้นช่วยจำกัดความเสี่ยงขาลง ซึ่งผลตอบแทนจากตราสารหนี้ภาครัฐของไทยนั้นยังคงนิ่งนับตั้งแต่เราสับเปลี่ยนเข้าไป
รีวิว: โภคภัณฑ์ปรับตัวขึ้นในช่วงเดือนตุลาคม
- ในการปรับพอร์ตครั้งล่าสุด เราเพิ่มสัดส่วนโภคภัณฑ์เป็น 5% จากแต่เดิมที่ไม่มีเลย
- ในเดือนตุลาคม โลหะอุตสาหกรรมและกลุ่มโภคภัณฑ์จากผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและปศุสัตว์ (Soft Commodities) ทำผลงานได้ดีเมื่ออุปสงค์ฝั่งจีนแข็งแรงขึ้น
- ราคาพลังงานร่วงลงอันเนื่องมาจากความเชื่องช้าในการฟื้นตัวของอุปสงค์
- โลหะมีค่าก็แพ้เช่นกัน แม้ว่าความไม่แน่นอนในตลาดจะสูงก็ตาม
รีวิว: ราคาทองคำร่วงท่ามกลางความไม่แน่นอนที่สูง
- สัดส่วนทองคำในพอร์ตของเรายังคงไว้ที่ 30%
- เวฟใหม่ของโควิด-19 ในภูมิภาคฝั่งตะวันตกนั้นก่อให้เกิดข้อจำกัดต่าง ๆ และเพิ่มความไม่แน่นอน
- แม้ความคาดหวังต่อนโยบายกระตุ้นของรัฐบาลและธนาคารกลางควรจะหนุนราคาทอง แต่ราคาทองก็ร่วงลงเล็กน้อยในเดือนตุลาคม
- ดูเหมือนว่านักลงทุนบางท่านจะขายทองออกไปเพื่อแลกเป็นเงินสด
ตุลาคม 2020: ชนะหุ้นโลกได้ อันเนื่องมาจากสัดส่วนหุ้นที่ค่อนข้างน้อย และเอนเอียงไปทางเอเชีย-แปซิฟิก (ไม่รวมญี่ปุ่น)
รูปที่ 1: รูปเปรียบเทียบผลตอบแทน AWS กับสินทรัพย์อื่น ๆ
ข้อมูล ณ วันที่ 30 ต.ค. 2020 (ที่มา: A.Stotz Investment Research, Refinitiv)
ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
- AWS: ชนะหุ้นโลกไป 9%
- เอเชีย–แปซิฟิก (ไม่รวมญี่ปุ่น): ทำผลงานได้ดีที่สุด
- ตราสารหนี้: ยังคงนิ่ง
- ทองคำ: ราคาร่วงท่ามกลางภาวะไม่แน่นอนของตลาด
- สหรัฐฯ: หุ้นฝั่งตะวันตกและญี่ปุ่นเจอผลกระทบหนัก
ตั้งแต่ก่อตั้ง: แพ้หุ้นโลก แต่มีจุดขาดทุนสูงสุด (Drawdowns) ที่ต่ำกว่า
รูปที่ 2: เปรียบเทียบผลตอบแทนระหว่าง AWS และ MSCI World
ข้อมูล ณ วันที่ 30 ต.ค. 2020 (ที่มา: A.Stotz Investment Research, Refinitiv)
ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
- พอร์ต All Weather Strategy โดยส่วนใหญ่มีการกระจายการลงทุนในหุ้น 45-65% และลงทุนในทองคำ 25%
- ตั้งแต่ 3 กันยายนที่ผ่านมา สัดส่วนคือ หุ้น 50% ตราสารหนี้ 15% ทองคำ 30% และโภคภัณฑ์ 5%
- ความเสี่ยงขาลงมีน้อยกว่า เมื่อเทียบกับกลยุทธ์ที่มีหุ้นเพียงอย่างเดียว
ตั้งแต่ก่อตั้ง: เมื่อเทียบกับความผันผวนของตลาดหุ้นโลก พอร์ต All Weather Strategy มีความผันผวนน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง
รูปที่ 3: ความผันผวนของแต่ละสินทรัพย์
ข้อมูล ณ วันที่ 30 ต.ค. 2020 (ที่มา: A.Stotz Investment Research, Refinitiv)
ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
- ความผันผวนของพอร์ต AWS นั้นมีน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง ของความผันผวนหุ้นโลก
- สัดส่วน 25-65% ในหุ้นช่วยลดความผันผวนลง
- ทองคำไม่มีความสัมพันธ์กับหุ้น จึงช่วยลดความผันผวนของพอร์ต AWS
ตั้งแต่ก่อตั้ง: พอร์ตการลงทุนนี้มีการปรับตัวลดลงน้อยกว่าตลาดหุ้นโลก ในช่วงเวลาเดียวกัน
รูปที่ 4: ผลดำเนินงานของ 10 วันที่แย่ที่สุดของหุ้นโลก เทียบกับ AWS
ข้อมูล ณ วันที่ 30 ต.ค. 2020 (ที่มา: A.Stotz Investment Research, Refinitiv)
ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
- ลักษณะที่โดดเด่นของ AWS คือ ตั้งเป้าให้ปรับตัวลงน้อยกว่า ยามตลาดหุ้นโลกปรับตัวลง
- นับตั้งแต่ก่อตั้งพอร์ต เมื่อดูข้อมูลของ 10 วันที่ตลาดหุ้นมีผลตอบแทนย่ำแย่ที่สุด พบว่าผลตอบแทนของ AWS ปรับตัวลดลงน้อยกว่าตลาดหุ้นโลกในวันนั้น
- ส่วนใหญ่เป็นเพราะสัดส่วนหุ้นที่น้อย และสัดส่วนทองคำที่สูง
ตั้งแต่ก่อตั้ง: AWS มักจะทำผลงานได้เหนือกว่า เมื่อหุ้นโลกเผชิญภาวะร่วงหนัก
รูปที่ 5: เปรียบเทียบผลการดำเนินงาน AWS และ MSCI World ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา
ข้อมูล ณ วันที่ 30 ต.ค. 2020 (ที่มา: A.Stotz Investment Research, Refinitiv)
ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
- ผลการดำเนินงานของ AWS เหนือกว่าหุ้นโลกที่สุดในช่วงเดือนมีนาคม 2020 กุมภาพันธ์ 2020 พฤษภาคม 2019 และ สิงหาคม 2019 ซึ่งเป็นช่วงที่หุ้นโลกร่วงหนักสุด ๆ และเมื่อเร็ว ๆ นี้ในเดือนกันยายน 2020 และตุลาคม 2020 ก็เป็นอย่างนั้นเช่นกัน
- ทองคำและตราสารหนี้ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือคุมความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพในหลาย ๆ ช่วงที่ตลาดปรับตัวลง
มุมมอง: ความไม่แน่นอนควรจบสิ้นในวันเลือกตั้ง ทว่านี่คือปี 2020
- วันที่ 4 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันเลือกตั้ง ควรเป็นตัวจบความไม่แน่นอน เนื่องจากเราจะได้รู้ว่าใครจะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไปอีก 4 ปี
- ทว่าตอนนี้ เหมือนว่าทั้งสองฝั่งพร้อมที่จะดำเนินการหลาย ๆ อย่างเพื่อไม่ยอมรับผลลัพธ์หากตัวเองเป็นฝ่ายแพ้
- ผลการเลือกตั้งที่ชัดเจนจะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในระยะสั้น
มุมมอง: มีความเป็นไปได้ที่ความไม่แน่นอนจะยืดเยื้อไปเรื่อย ๆ
- ถึงอย่างนั้น เราก็ไม่คาดหวังว่าผลการเลือกตั้งจะชัดเจนอย่างรวดเร็วสักเท่าไร มีความเป็นได้ที่ความไม่แน่นอนจะยืดเยื้อไปเรื่อย ๆ
- สิ่งนี้อาจส่งผลให้ยังคงเกิดความผันผวนระยะสั้นในหุ้นสหรัฐฯ
- ไม่ว่าผู้ชนะจะเป็นใคร เราคิดว่ารัฐบาลและ/หรือเฟดจะยังคงมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไปเรื่อย ๆ
- แม้มาตรการกระตุ้นจะสามารถประคับประคองตลาดได้ในระยะสั้น แต่เราคิดว่ามันไม่น่าจะยั่งยืน
มุมมอง: เฟดยังคงดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ
- ไม่ว่าผู้ชนะจะเป็นใคร เราคาดหวังว่าเฟดจะยังคงดอกเบี้ยในระดับต่ำเพื่อช่วยเหลือบริษัทต่าง ๆ ธนาคาร และรัฐบาล
- เงินเฟ้อจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยแท้จริงนั้นติดลบ และสร้างแรงกดดันดอลล่าร์สหรัฐฯ ในระยะยาว ส่งผลให้ตราสารหนี้น่าสนใจน้อยลง
มุมมอง: เราถือตราสารหนี้เพื่อประโยชน์ของการกระจายความเสี่ยง
- ณ ตอนนี้เราถือตราสารหนี้ภาครัฐของไทย
- อย่างไรก็ดี เราคาดว่าอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำในภูมิภาคตะวันตก รวมถึงเศรษฐกิจที่อ่อนแอจะทำให้ดอกเบี้ยในไทยต่ำเช่นกัน
- เราถือตราสารหนี้เพื่อประโยชน์ของการกระจายความเสี่ยง มากกว่าจะเป็นการแสวงหาผลตอบแทน
มุมมอง: จีนเป็นตัวขับเคลื่อนการฟื้นตัวของเอเชีย
- ดูเหมือนอีกนานกว่าการระบาดของโควิด-19 จะจบลง เมื่อประเทศฝั่งตะวันตกกลับมากระชับมาตรการยับยั้งควบคุมอีกครั้งสำหรับเวฟถัดไป
- ดูเหมือนหลาย ๆ ประเทศในแถบเอเชียตะวันออกจะสามารถควบคุมไวรัสได้ดีกว่า ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อการฟื้นตัวในตลาดกลุ่มนี้
- การฟื้นตัวของจีนเป็นแรงขับเคลื่อนอุปสงค์ และอาจช่วยเหลือภูมิภาคโดยรวมเช่นกัน
- เรายังคงสัดส่วน 25% ในหุ้นเอเชีย-แปซิฟิก (ไม่รวมญี่ปุ่น)
มุมมอง: ยังคงสัดส่วนการลงทุนแบบระมัดระวัง
- เรายังคงระวังในการลงทุนหุ้น โดยเฉพาะหุ้นสหรัฐฯ ครับ
- มีการล็อกดาวน์รอบที่สองในยุโรป
- มองในมุมระยะยาว แม้ว่าจะสามารถควบคุมโควิด-19 ได้แล้ว ความกังวลมากมายก็ยังคงอยู่ เช่น ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ การว่างงานในวงกว้าง และปัญหาหนี้
- เรายังคงระมัดระวังในการแบ่งสัดส่วน โดยยังมีทองคำ 30% และตราสารหนี้ 15% ด้วย
สรุป FVMR แต่ละภูมิภาค
รูปที่ 7: สรุป FVMR หุ้นแต่ละกลุ่มประเทศ
ข้อมูล ณ วันที่ 30 ต.ค. 2020 (ที่มา: A.Stotz Investment Research, Refinitiv)
- พื้นฐาน (Fundamentals): หุ้นสหรัฐฯ มีผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ROE (Return on Equity) สูงที่สุด
- มูลค่า (Valuation): ตลาดเกิดใหม่มี PE (Price-to-Earnings) ต่ำสุด และญี่ปุ่นมี PB (Price-to-Book) ต่ำสุด
- แนวโน้ม (Momentum): มีเพียงตลาดยุโรปพัฒนาแล้ว กับญี่ปุ่น ที่ปรับตัวลงในช่วงปีที่ผ่านมา
- ความเสี่ยง (Risk): ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และญี่ปุ่น มีอัตราหนี้สินต่อทุน (Gearing) ต่ำที่สุด
สรุป รีวิวพอร์ต All Weather Strategy ประจำเดือนตุลาคม 2020
- All Weather Strategy ทำผลงานได้โดดเด่น ในขณะที่หุ้นโลกร่วงช่วงตุลาคม
- การเลือกตั้งสหรัฐฯ ไม่ช่วยให้ความไม่แน่นอนสิ้นสุดลง ในฝั่งการฟื้นตัวของเอเชียนั้นมีจีนช่วยเป็นแรงขับเคลื่อน
- เรายังคงโฟกัสกับการจำกัดความเสี่ยงขาลง ด้วยสัดส่วน 15% ในตราสารหนี้ภาครัฐระยะสั้นและสัดส่วน 30% ในทองคำ
Andrew Stotz
สำหรับลูกค้าที่ลงทุนใน All Weather Strategy สามารถดูพอร์ตการลงทุนได้ตามช่องทางนี้
ผ่านมือถือ/Tablet >>แอปฯ FINNOMENA
ผ่านคอมพิวเตอร์ >> เว็บไซต์ FINNOMENA
**All Weather Strategy พอร์ตกองทุนรวมจัดโดย Andrew Stotz ซึ่งจะช่วยให้เราได้ผลตอบแทนจากหุ้นในระยะยาว ในขณะที่ลดความรุนแรงของการขาดทุนในช่วงภาวะตลาดขาลง หากสนใจสร้างแผนการลงทุน สามารถคลิกที่นี่ https://www.finnomena.com/guruport-andrew-all-weather-create/ หรือแบนเนอร์ข้างล่างได้เลยครับ
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”